Market

NOBLEเปิดรับชำระค่าบ้านด้วยคริปโท กางแผนธุรกิจปี 65 เปิด18 โครงการใหม่ 4.77 หมื่นล้าน
18 ม.ค. 2565

โนเบิล  กางแผนธุรกิจปี 65 เปิดโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ากว่า 4.77 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เตรียมเพิ่มช่องทางชำระเงินให้กับลูกค้า ด้วยคริปโทเคอร์เรนซี คาดรับชำระได้ภายในไตรมาส 2 

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE เปิดเผยถึงแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจปี 65 ว่า บริษัท ยังคงมุ่งเน้นขยายธุรกิจเชิงรุกสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4.77 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ รวมถึงคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.88 หมื่นล้านบาท และแนวดิ่ง 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.89 หมื่นล้านบาท 

บริษัทวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อกระจาย รองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น เพราะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างไม่นาน คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบในพอร์ตให้ได้เกือบ 50% รวมทั้งการพัฒนาโครงการในทำเลที่กระจายตัวมากขึ้น เพื่อครอบคลุมทุกความต้องการในทุกมิติของผู้อยู่อาศัยในทุกทิศของกรุงเทพฯ โดยในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท และรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ราว 5.7 พันล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มช่องทางในการชำระเงินให้กับลูกค้า โดยสามารถนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการใช้คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในไตรมาส 2/65 ซึ่งจะเป็นอีกช่องทาง เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ และยังเป็นการสอดรับกับกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่คาดว่าจะกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และยังมีการศึกษาในการทำ Investment Token โดยมีสินทรัพย์ค้ำประกันออกมา แต่ยังอยู่ระหว่างการรอด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับและเรื่องของภาษีต่างๆ ให้มีความชัดเจนก่อน

"การเพิ่มช่องทางชำระเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะกับลูกค้าต่างชาติ เป็นการตอกย้ำจุดแข็งของ "โนเบิล" ที่สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ได้ถึง 56% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติ และจากการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์การขยายการลงทุนของ"โนเบิล" ส่งผลให้บริษัทฯยังคงตอกย้ำสู่การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทยติดอันดับ TOP 5 ในอนาคต"

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 มองว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากปี 64 แม้จะเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน เชื่อว่าจะไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากนัก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อ Sentiment ของคนในประเทศที่เริ่มผ่อนคลายความกังวลประกอบกับภาครัฐที่มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดมากขึ้น ทั้งการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมจำนองออกไปถึงสิ้นปี 65 การผ่อนปรนต่างชาติให้เข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ไทยได้นานขึ้น

รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ไปถึงสิ้นปี 65 ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์บวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้

สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนในสหราชอาณาจักร ของบริษัทฯในปี 2564 ที่ผ่านมา ได้เริ่มซื้ออพาร์ทเมนท์กว่า 40 ห้อง ในใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์ และเมืองลีดส์ มูลค่ารวม 6.7 ล้านปอนด์ โดย ณ สิ้นปี 64 บริษัทสามารถทำการขายได้มากกว่า 30% ของจำนวนห้องทั้งหมด โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ 35% บริษัทเชื่อว่าโมเดลธุรกิจนี้จะเป็นโมเดลธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างรายได้ประจำที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับอัตรากำไรที่ดีจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าว

และในปี 65 บริษัทได้ตั้งเป้าการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้วจำนวน 550 ห้อง จากเดิมที่มี 70 ห้องในแถบมิดแลนด์ และตอนเหนือของอังกฤษ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านปอนด์ 
 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com