แนวโน้มตลาดวันนี้ (24 ก.ย.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์/รีบาวด์สั้นที่แนวรับนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อแม้ว่าจะเริ่มลดระดับลง ในขณะที่ค่าเงินบาททรงตัว ตลาดติดตามการประชุม ครม.นัดพิเศษที่อาจจะมีความชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศษฐกิจ คาดว่าเป็นเรื่องการลดค่าครองชีพและโครงการคนละครึ่ง ทางเทคนิค ตลาดลงหลุดต่ำกว่าแนวรับหลัก 1280/1276 ทำให้เสียแนวโน้มพักสั้นเพื่อขึ้น ระยะสั้นแม้มีโอกาสรีบาวด์ที่ 1270/1267 แต่หากยังไม่สามารถยืนเหนือ 1283/1293 ให้ระวังเป็นเพียงชะลอการลงสั้น
ประเด็นสำคัญ
• ประธานเฟดพาวเวลหนุนเฟดลดดอกเบี้ย จากตลาดแรงงานอ่อนแรงกว่าความกังวลเงินเฟ้อ แม้เสี่ยงStagflation แต่ยืนยันเฟดพร้อมผ่อนคลายเพิ่มหากจำเป็น มองความเสี่ยงด้านการจ้างงานชัดเจนขึ้น ขณะทิศทางเงินเฟ้อยังไม่แน่นอน สะท้อนโจทย์ท้าทายต่อการกำหนดนโยบายและกล่าวถึงราคาสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงราคาหุ้นอยู่ในระดับสูง
• จำนวน นทท. ต่างชาติในสัปดาห์ก่อนชะลอตัวต่อเนื่อง โดยการลดลง YoY กว้างขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า กดดันจากทั้งกลุ่ม นทท. จีน และไม่รวมจีน มองเป็น Sentiment เชิงลบระยะสั้นต่อกลุ่มท่องเที่ยว แต่พิจารณาช่วง 3 สัปดาห์แรกของ ก.ย. พบว่าหดตัว YoY แคบลงเมื่อเทียบกับ ส.ค. และ ก.ค. ที่ผ่านมา มองได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
• ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์ใน ส.ค. 2568 ที่ 112,366 คัน เพิ่มขึ้น 1.6%MoM แต่ลดลง 6.1%YoY กดดันจากกฎระเบียบประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดขึ้นและการส่งออกที่ลดลง ส่วนการผลิตสำหรับในประเทศเพิ่มขึ้น 4.1%YoY หนุนจากการผลิต EV เพื่อชดเชยโควตา และการขายในประเทศที่เติบโตต่อเนื่องที่ 9,246 คัน ขยายตัว 26.6%YoY
• OECD ปรับเพิ่มคาดการณ์เติบโต ศก. โลกปี 2568 ขึ้นสู่ 3.2% จาก 2.9% เมื่อ มิ.ย. 2568 หนุนจากการเร่งผลิตและส่งออกก่อนมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ โดยปรับคาดการณ์ ศก. สหรัฐฯ, จีน และญี่ปุ่น ขึ้นเป็น 1.8% (+2pp), 4.9% (+2pp) และ 1.1% (+4pp) ตามลำดับ และเตือนถึงความเสี่ยงหลังจากนี้ที่การผลิต-ส่งออกได้เร่งตัวไปแล้ว ขณะที่การเก็บภาษีได้เริ่มบังคับใช้
• วานนี้ (23 ก.ย.) ฮ่องกงยกระดับการเตือนภัยไต้ฝุ่น “รากาซา” ที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบหลายปี งดเที่ยวบินในสนามบินฮ่องกงกว่า 700 เที่ยวถึงวันที่ 25 ก.ย. นี้ ส่วนทางการจีนได้ยกระดับการเตือนภัยสู่ระดับ 3 จากทั้งหมด 4 ระดับ ในมลฑณกวางตุ้งและไห่หนาน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสพักฐานหรือแกว่งตัวในกรอบแคบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ปัจจัยในประเทศยังอยู่ระหว่างรอติดตามแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการเรียกความเชื่อมั่นการลงทุนให้ฟื้นตัวและการไหลเข้าของ Fund Flow ในระยะถัดไป ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ PMI และ PCE ซึ่งหากออกมาแย่กว่าตลาดคาด จะมีผลต่อการพิจารณาตัดสินใจเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในระยะถัดไป อย่างไรก็ดีมอง SET เริ่มมี Upside จำกัดและอาจชะลอการขึ้นสั้นบ้าง หลังดัชนีปรับขึ้น 19% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ Downside ยังจำกัดเช่นกัน หลังเริ่มเห็น Fund Flow ชะลอการขาย ประเมิน SET มีแนวต้านบริเวณ 1320 และมีแนวรับ 1280 ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily Top Picks
PTT: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.90 บาท (XD 1 ต.ค.) คิดเป็น Div. Yield ใน 1H68 ราว 2.7% ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรฟื้นตัวจากธุรกิจ P&R และ E&PPTT ดีขึ้น และมีแผนปลดล็อกเงินสด 1 แสนลบ. ผ่านการ Asset Monetization ใน 2H68 ถึงปี 2569 ประเมินราคาเป้าหมายระยะสั้น 33.75 บาท
BDMS: หุ้น Defensive ซึ่งราคาหุ้นยัง Laggard โดยยังถูกเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง BH ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรปกติเติบโต 5%YoY และจะโตแข็งแกร่งขึ้นเป็น 9%YoY ในปี 2569 อีกทั้ง Valuation ยังถูก โดยซื้อขาย PER 2569F ที่ 18 เท่า (ต่ำกว่า -2SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต) ช่วยจำกัด Downside ประเมินราคาเป้าหมายระยะสั้น 21 บาท