ในช่วงนี้ ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยลบใหญ่ความกังวลของการแพร่ระบาดโควิด -19 สายพันธุ์ใหม่แอฟริกาใต้และในยุโรปมีหลายประเทศที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง เมื่อวานนี้ (26 พ.ย.2564) กระดานหุ้นกลุ่มต่างๆปรับตัวแดงกันถ้วนหน้า จนมีแรงซื้อเข้ามาช้อนจากนักลงทุนรายย่อยสู้กับต่างชาติ สถาบันและพอร์ตโบรกเกอร์ จนวอลุ่มพุ่งกว่า 1.3 แสนล้านบาท
ที่ผ่านมาหุ้นหลายกลุ่มปรับตัวขึ้นกันไม่น้อยหลังจากประกาศงบกำไรไตรมาส 3 กันออกมาแล้ว เชื่อว่า นักลงทุนรายย่อยที่อยากซื้อหุ้นช่วงนี้ก็ยังหวั่นๆว่าราคาจะสูงเกินเหมาะสมหรือราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้แค่ไหน
แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ แม้ช่วงระยะสั้นมีแรงเก็งกำไรกลุ่มนี้ไม่มาก ทำให้ราคาหุ้น…วิ่งไม่สุด นั่นคือ กลุ่มแบงก์ (ดูกราฟฟิกประกอบ) ซึ่งยังห่างไกลเป้าหมายที่โบรกเกอร์ให้ไว้
ข้อมูลในช่วง 1 เดือนย้อนหลัง หลังจากได้รับรู้ผลกำไรไตรมาส 3 ที่ผ่านมาไปแล้ว ราคาหุ้นแบงก์ใหญ่ 3 อันดับแรกปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 1-2% แล้ว แต่ราคาก็ยังห่างไกลเป้าหมาย ส่วนแบงก์ที่ปรับขึ้นแรงกว่า 3% ขึ้นไป ต้องยกให้ BAY พุ่งถึง 9% ส่วน TTB และ KKP เด้งกว่า 3% ขณะที่แบงก์ใหญ่อย่าง KTB ราคาหุ้นลดลง ทั้งๆ ที่ดูเหมือนเป็นแบงก์ที่ดูคึกคักเป็นเครื่องมือบริการธุรกรรมและโครงการต่างๆมากมายให้ภาครัฐ
ทั้งๆที่โบรกเกอร์ต่างๆเชียร์กันมาตลอดว่า จะเป็นกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น จากท่าทีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วภายใน มี.ค. 2565 เพื่อสกัดปัญหาเงินเฟ้อสูงรอบ 30 ปี จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นเร็วเกินคาด และแม้ว่าฝั่งไทยคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายคงต่ำสุดอยู่ที่ 0.50% ตลอดปีหน้า เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมา และธุรกิจแบงก์จะได้ประโยชน์เต็มๆ เนื่องจากเป็นเส้นเลือดใหญ่เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจต่างๆขับเคลื่อนไปข้างหน้า ถึงเวลา move on จากกับดักโควิดเสียที ขณะที่คาดการณ์กันว่า ปีหน้า การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยราว 4%
ล่าสุด ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics สแกนแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ใน ปี 2565 มีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง ตามเศรษฐกิจและการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัว ซึ่งจะหนุนการเติบโตของสินเชื่อถึง 5.5% จะกลับมาสูงกว่า GDP อีกครั้ง โดยหลักๆมาจาก
-สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัว 4.2% นำโดยสินเชื่อภาคการผลิตและภาคก่อสร้าง ได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน EEC มาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI และการค้าระหว่างประเทศที่เติบโตดี
-สินเชื่อธุรกิจ SMEs เติบโต 4.5% จากหลายปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีของธุรกิจภายหลังการเปิดประเทศ ความต้องการสภาพคล่องเพื่อกลับมาดำเนินธุรกิจ รองรับอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงแรงสนับสนุนของสินเชื่อฟื้นฟูของ ธปท. และสถาบันการเงินของรัฐ โดยสินเชื่อ SMEs ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีหน้า ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออนไลน์ ธุรกิจการผลิตเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านอาหาร สุขภาพ เกษตรแปรรูป และ บริการด้านธุรกิจดิจิทัล เป็นต้น
-สินเชื่อรายย่อยเติบโต 6.5% ฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นการฟื้นตัวของสินเชื่อในทุกหมวดหมู่ ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และ สินเชื่อส่วนบุคคล โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เติบโต 7% จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศที่ได้รับผลบวกจากการผ่อนปรนมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) และกำลังซื้อจากต่างประเทศที่กลับมาพร้อมกับการเปิดประเทศ ส่วนสินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้น 4% ตามการฟื้นตัวจากอุปสงค์คงค้าง (Pend up demand) และสินเชื่อส่วนบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 8.5% ตามการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน
ด้านคุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มทรงตัวระดับเดิม โดยคาดการณ์ว่าอัตราส่วนยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ในปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 3.0% ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงปี 2564 ในระดับ 3.1% จากนโยบายส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ของ ธปท. ที่ขยายเวลาการใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้นและกันเงินสำรองอย่างยืดหยุ่นไปจนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อให้ธนาคารสามารถให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการเปลี่ยนโครงสร้างสินเชื่อจากระยะสั้นเป็นระยะยาวร่วมกับการปรับโครงสร้างหนี้วิธีอื่น ๆ
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในปี 2565 ยังไม่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงจากปี 2564 เนื่องจากคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ระดับ 0.50% ต่อเนื่องตลอดปีหน้า เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับ ธปท. ได้ขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือร้อยละ 0.23 จากร้อยละ 0.46 ต่อปี ออกไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถส่งผ่านการลดต้นทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงินฝากในปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 3.0% ลดลงเล็กน้อยจากประมาณการที่ 3.5% ในปี 2564 โดยปริมาณเงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ยังคงเติบโตอยู่ที่ 6.5% แต่ชะลอลงจากปี 2564 ที่ขยายตัว 8.5% ตามแนวโน้มการบริโภคที่ฟื้นตัวได้เร็วหลังเปิดประเทศ ขณะที่ปริมาณเงินฝากบัญชีฝากประจำคาดว่าจะหดตัว 7% ซึ่งมีทิศทางที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 จากอัตราดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากประจำที่อยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวที่ 0.50% ตั้งแต่กลางปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้ผู้ฝากทั้งประชาชนและภาคธุรกิจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุน และเลือกลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ทั้งนี้ในภาพรวม แนวโน้มเงินฝากที่ยังคงเติบโตในปี 2565 จะทำให้สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 4 ล้านล้านบาท รวมทั้งการที่ยังคงมีเงินกองทุนในระดับสูง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยได้
หากสัญญาณพลิกฟื้นธุรกิจแบงก์จะกลับมาสดใสในปีหน้าตามภาพขยายของ ttb analytics ปี 2565 ก็จะเป็นปีของหุ้นกลุ่มแบงก์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ใครที่คิดจะลงทุนก็หาจังหวะช่วงหุ้นลงแรงๆสอยติดพอร์ตกันตามหุ้นที่ถูกชะตาตัวเองไว้ ใครที่ติดดอยไว้ก่อนโควิด ก็มีลุ้นกัน หากอยากลงดอยเร็วก็ต้องซื้อเฉลี่ยต้นทุนต่ำช่วงที่ราคาถูก
------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1