KCG กำหนดราคาเสนอขาย IPO หุ้นละ 8.50 บาท เปิดจองซื้อวันที่20 – 21 และ 24 ก.ค. นี้ คาดนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ช่วงต้นเดือน ส.ค. นี้ ด้านผู้บริหารเดินหน้าลงทุนขยายกำลังการผลิต ยกระดับเทคโนโลยีการผลิตภายในโรงงาน สร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแห่งใหม่ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ วางเป้าหมายเป็นผู้นำการผลิตและจัดจำหน่าย เนย ชีส และนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย
บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “KCG”) ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 3 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ KCG ประกอบด้วย บล. กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด, บล. กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และบล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด(มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า KCG ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 8.50 บาทต่อหุ้น โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 20 – 21 และ 24 ก.ค. นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “KCG”
ปัจจุบัน KCG มีทุนชำระแล้ว 390 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 390 ล้านหุ้นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 155 ล้านหุ้นคิดเป็นร้อยละ 28.4 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 545 ล้านหุ้น สำหรับเงินที่ได้จากการระดุมครั้งนี้ KCG จะนำไปใช้สร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าขยายกำลังการผลิต ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นผู้นำการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเนย ชีส บิสกิต และส่วนประกอบอาหารและเบเกอรี่ที่หลากหลาย อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเป็นผู้นำเข้าเนย ชีส วัตถุดิบเบเกอรี่และอาหารตะวันตกจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก
“การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ KCG ที่ราคา 8.50 บาทต่อหุ้น พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แผนการลงทุนและศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่ง KCG นับว่าเป็นธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานมั่นคง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สอดรับกับการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวและร้านอาหารและเบเกอรี่ต่างๆ ความนิยมในการบริโภคอาหารตะวันตกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น จึงทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์จากชีสและเนยมากขึ้น เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้การบริโภคอาหารตะวันตกขยายตัวอย่างเนื่อง” นายพิเชษฐ กล่าว
ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจีคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ KCG เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตตลอดจนการก่อสร้าง “KCG Logistics Park” หรือศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง(Ambient) ซึ่งมีความทันสมัยและครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ KCG ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย” ดร.วาทิต กล่าว
นางกนกวรรณรัตน์ ศรีมณีศิริ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงินKCG กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2563 - 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 4,950.0 ล้านบาท 5,265.0 ล้านบาท และ 6,232.7 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 244.2 ล้านบาท 303.4 ล้านบาท และ 241.1 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกประเภทให้กับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) กลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) และการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เติบโตเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลดำเนินงาน 3 เดือนแรกของปี2566 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,723.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ58.4 ล้านบาท โดยรายได้รวมและกำไรสุทธิเติบโตจากงวด 3 เดือนแรกของปี 2565 คิดเป็นอัตราร้อยละ 30.6 และร้อยละ 81.4 ตามลำดับ โดยหลักมาจากยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในปี 2563 - 2565 และ 3 เดือนแรกของปี 2565 และ 2566 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คิดเป็นร้อยละ 58.4 – 60.6 ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่และผลิตภัณฑ์อื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 26.5 – 30.5 และผลิตภัณฑ์บิสกิต คิดเป็นร้อยละ10.4 - 13.4 ของรายได้จากการขาย และหากพิจารณารายได้จากการขายแบ่งตามช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัทฯ มีรายได้จากการขายให้แก่กลุ่มผู้บริโภค (B2C) กลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ53.9 – 59.4 ร้อยละ 36.7 – 41.5 และร้อยละ 3.6 – 5.2 ของรายได้จากการขาย ตามลำดับ