แนวโน้มตลาดวันนี้ (19 ม.ย.) บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดตลาดแกว่งตัวลง มีแนวรับที่ 1094 หากรับไม่อยู่จะมีแนวรับถัดไปที่ 1080/1056 ได้ ส่วนการขึ้นมีแนวต้านที่ 1100/1108 คาดยังติดแนวต้าน ติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลาง การเมืองในประเทศ หากยังไม่มีความชัดเจนทางการเมืองยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น
ประเด็นสำคัญ
• FOMC มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ตามตลาดคาด แต่มีการปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงจาก 1.7% เหลือ 1.4% และเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE ขึ้นจาก 2.7% เป็น 3% ส่วน DotPlotมีกรรมการ 7 ท่านที่คาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากเดิม 4 ท่าน
• วันนี้ติดตามการเมืองไทยซึ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้นหลังมีการเผยแพร่เสียงสนทนาระหว่างนายกฯและสมเด็จฮุนเซน จนทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกหรือยุบสภา ซึ่งเรามองจะกดดันต่อตลาดหุ้นไทย โดยในอดีตหากมีการยุบสภาจะพบวันแรก SET ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 0.8%DoD แต่ถัดจากนั้นจะแกว่งตัวลง จากกังวลนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่คืบหน้าและรอดูนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ โดยดัชนีจะใช้เวลาราว 3 เดือนจึงพลิกเป็นบวกได้อีกครั้งหลังตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ส่วนการลาออกคาดดัชนีจะแกว่งไซด์เวย์ระยะสั้นเพื่อรอดูชื่อนายกฯ คนใหม่
• ปลัดพาณิชย์เผยหลัง Video Conference กับ USTR ได้รับ 5 ข้อเสนอจากฝั่งสหรัฐฯ คือ มาตรการภาษีและโควตา, มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี, การจัดการการค้าดิจิทัล, กฎเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้า และมาตรการด้านความมั่นคง ทางไทยจะพิจารณาร่วมกับหลายฝ่ายและเสนอต่อฝั่งสหรัฐฯ ภายใน 20 มิ.ย.
• มูลค่าส่งออกไทย พ.ค. 2568 ขยายตัว 18.4% เติบโต 11 เดือนต่อเนื่อง สูงสุดนับตั้งแต่ มี.ค. 2565 และทำระดับสูงสุดที่ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หนุนจากการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กฯ สินค้าเกษตรกลับมาฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยตลาดส่งออกสู่สหรัฐฯ และจีนเติบโตสูงสุด 35% และ 28% ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวน อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าเพิ่มเติม (ญี่ปุ่น อินเดีย) หลังมีข้อสรุปเบื้องต้นกับจีนแล้ว รวมถึงการแจ้งอัตราภาษีแบบฝ่ายเดียวกับประเทศอื่นๆ ใน 1-2 สัปดาห์นี้ ขณะที่ปัจจัยภายในยังติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง (การปรับ ครม.) และการออกมาตรการกระตุ้น ศก. (เที่ยวไทยคนละครึ่ง และโครงการกระตุ้น ศก. 1.57 แสนลบ.) อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่า ช่วงต้น เม.ย. SET ได้ปรับลงสะท้อนวิกฤติจากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไปแล้ว (มอง SET ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้วที่ Downside 1,032 จุด) และยังคงมุมมองว่าหากดัชนีปรับตัวลงมาบริเวณ 1100 ยังเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว กลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily top picks
DIF: มองมีปัจจัยระยะสั้นจากการไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาด แนวโน้มใน 2Q68 คาดว่ากำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง คาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีสูงถึง 11% ในปี 2568 และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกใน 2H68 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นได้
KTB: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น มีโอกาสมีแรงซื้อเข้ามาหากมีความชัดเจนการเมือง เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคาร มี Upside จากการเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลเพิ่ม และ Credit Cost สูงสุดใน1Q68 แล้วมีโอกาสลดลงในช่วงที่เหลือของปี ในขณะที่ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และมี LLR Coverage สูง