Market

บล.ดีบีเอสหั่นเป้าดัชนีเหลือ 1680 จุด แนะปรับพอร์ตตั้งรับวิกฤต-เปิดโผธีมลงทุนไตรมาส3/65
6 ก.ค. 2565

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส หั่นเป้าดัชนีสิ้นปี เหลือ 1,680 จุด ชี้ผลกระทบเงินเฟ้อ เป็นภัยคุกคาม กดดันดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก ฉุดเศรษฐกิจถดถอย แนะปรับพอร์ตตั้งรับวิฤต เปิดโผธีมลงทุนไตรมาส 3 “เปิดเมือง-เฮลท์แคร์-พลังงาน-EV-แบงก์” โดดเด่น 

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์  บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์หัวข้อ "ปรับพอร์ต รับวิกฤตหุ้นครึ่งปีหลัง"  ว่า ภายใต้สถานการณ์ตลาดหุ้นผันผวน ฝ่ายวิจัย ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นปีนี้ลดลงเหลือที่ระดับ 1,680 จุด จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,800 จุด 

การปรับลดเป้าหมายดัชนี เพราะมองว่า ยังมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อสูง และวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงาน ธัญพืชและอาหารสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจและรายย่อย ภายใต้เศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง 
 
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยที่ช่วยพยุง จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกที่ยังเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งประเทศไทยยังมีความมั่นคงทางอาหารสูง


สำหรับปัญหาเงินเฟ้อ ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 4 มีโอกาสชะลอตัวลง หากราคาน้ำมันดิบไม่ได้พุ่งแรง  โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนพฤษภาคม 2565 ถือว่าเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี  ขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี  ซึ่งเงินเฟ้อสูงรอบนี้มาจาก  Cost Push ตัวหลักคือ ราคาพลังงาน ดังนั้นถ้าราคาพลังงานไม่ถอยลง อัตราเงินเฟ้อก็จะลดลงไม่ได้


ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.75% ในการประชุมรอบต่อไป 26-27 กรกฎาคม นี้  และคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีโอกาสเริ่มปรับเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งปีหลังของปี 2565 


ปัจจัยที่ควรระวัง คือ เม็ดเงินไหลออกจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและไทยที่จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยในสิ้นปี 2565 อาจเห็น Gap ที่สูงถึง 2.25% ซึ่งประเด็นนี้ผนวกกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ประเมินไว้ว่าปีนี้จะอยู่ที่ 7-8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจะทำให้เงินบาทยังคงอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ สำหรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยถดถอย ในขณะนี้เรามองว่ายังมีความเสี่ยงน้อย แต่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวและเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้ 0.2-0.3% 

กลยุทธ์การลงทุน  ฝ่ายวิจัยของบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ฯแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่ธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุด และมีแนวโน้มฟื้นตัวและมี Upside สูง โดยธีมการลงทุนในไตรมาส 3 ประกอบด้วย หุ้นธีมเปิดเมือง (Reopening)  ธีมหุ้น Defensive  ธีมหุ้น EV  ธีม Healthcare ธีมดอกเบี้ยขาขึ้น  และธีมปันผลสูง

ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้การเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนไตรมาส 3 ในช่วงที่น้ำมันดิบผันผวนด้านอุปทาน จากการแซงชั่นรัสเซีย กรณีสงครามรัสเซีย – ยูเครน ซึ่งจะส่งผลดีกับอุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น PTTEP ,PTT หุ้นโรงกลั่น เช่น BCP,TOP,ESSO,SPRC   และหากน้ำมันลดราคาลง ตามเศรษฐกิจโลกชะลอจะเป็นผลดีกับอุตสาหกรรมที่นำน้ำมัน หรือก๊าซไปใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือที่เรียกว่า Anti Commodity เช่นหุ้น  SCC, BGRIM, GPSC, SCGP, CBG ,OSP, AAV, BA, EPG

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยกำลังเป็นขาขึ้น   หลักทรัพย์ได้ประโยชน์เป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่ได้ทำธุรกิจเช่าซื้อ เช่น KBANK, BBL, TTB ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบทางลบจะเกี่ยวกับการทำไฟแนนซ์  ธุรกิจเช่าซื้อ  เช่น KKP, TISCO, SAWAD, MTC  

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังโดดเด่นด้านการฟื้นตัวจากการเปิดเมือง โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน หากการท่องเที่ยวไทยฟื้น จะสามารถทดแทนการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก ส่วนหุ้นได้รับผลดีจาการเปิดเมือง เช่น หุ้นสนามบิน  AOT  หุ้นสายการบิน AAV, BA หุ้นโรงแรม ERW , CENTEL, MINT, SHR  หุ้นศูนย์การค้า CPN, CRC  หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ที่เน้นลูกค้าต่างประเทศ ได้แก่ BH, BDMS, BCH 
หลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่  ด้านการลงทุนกลุ่มที่ดิน มีกิจกรรมการขาย &โอน  เช่น  กลุ่มการลงทุน มี  AMATA, WHA, ROJNA กลุ่มอสังหาฯ  มี AP, NOBLE, ORI, SC

ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ จะได้รับผลกระทบ ด้านอุปสงค์ลด และมีปัญหา Supply Chain Disruption แต่การส่งออกอาหาร ได้ประโยชน์ จากราคาสินค้าส่งออกสูงขึ้น  และกลุ่มอาหาร ได้ประโยชน์จากภาวะสงคราม เช่น  ASIAN, CFRESH, GFPT, TU

“หากรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้า โครงการขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง จะได้ประโยชน์ หุ้นเด่น คือ CK  กระตุ้นเศรษฐกิจโครงการ EEC กลุ่มนิคมก็จะได้ประโยชน์ ส่วนกรณีที่ภาครัฐแทรกแซงภาคเอกชน เพื่อบรรเทาภาระภาคประชาชน ช่วยพยุงราคาดีเซล ในกองทุนน้ำมันติดลบถึงระดับแสนล้าน โดยขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมันแบ่งกำไรส่งเข้ากองทุนน้ำมัน  ราคาหุ้น TOP, ESSO, BCP, SPRC  และ โรงแยกก๊าซ PTT จึงมีความผันผวนสูง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นลงมารับข่าวส่วนหนึ่งไปแล้วก็ตาม” นายสมบัติกล่าว 
  
นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า ภาพดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในระยะกลาง มีความชัดเจนในโครงสร้างขาลง ที่ไม่น่าจะเปลี่ยนทิศทางในช่วงเวลาอันใกล้นี้ได้ ดังนั้นจึงมีทิศทางการปรับตัวลงเป็นหลัก และหากจะมีการปรับขึ้นจะเป็นแค่การรีบาวน์ทางเทคนิคสั้นๆ แล้วลงต่อ 


 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com