ตลาดหุ้นไทยมีแรงกดดันทั้งในและต่างประเทศ คาดสัปดาห์นี้ SET 1620-1650 จุด ชี้ไตรมาส 3 กำไร บจ. ลดลง 20%จากไตรมาสก่อนหน้า สภาพัฒน์ประกาศ GDP Q3 ด้านฟันด์โฟลท์ไหลเข้าลดลง ต่างชาติหันจับสัญญาณราคาน้ำมันพุ่งลากเงินเฟ้อสหรัฐสูง เร่งเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยรอบสัปดาห์นี้ (15-19 พ.ย. 21) บล. KTBST ประเมินกรอบดัชนีฯ ไว้ที่ 1620-1650 จุด ตลาดถูกกดดันจากปัจจัยในประเทศ ทั้งเรื่องกำไรตลาด และการเปิดเมือง ที่จะหนุนให้นักลงทุนกลับเข้ามา ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีผลต่อเงินต่างชาติไหลเข้าที่ลดลง แต่หากความกังวลคลี่คลาย ก็จะกลับมาเป็นบวกได้ ขณะที่นักลงทุนเริ่มมีการจับตาสัญญาณเงินเฟ้อ ผ่านทางราคาน้ำมัน ตัวเลขค้าปลีกของสหรัฐฯ เพื่อประเมินว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วหรือช้า รวมทั้งกำไรตลาดและตัวของ GDP ของประเทศต่าง ๆ หากประเทศใดมีการรายงานออกมาดี บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ จะเริ่มฟื้นตัว
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นบทสรุปของการประชุมสมัชชาประเทศภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 ประเทศต่าง ๆ ที่เริ่มมีการรับนโยบาย ซึ่งจะมีผลเชิงลบต่อราคาสินค้าพลังงาน (น้ำมัน+ถ่านหิน+โรงไฟฟ้า)
สำหรับตัวแปรในประเทศ การเปิดประเทศยังคงราบรื่น คนทยอยเดินทาง และจับจ่ายใช้สอย ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ลดลงต่ำกว่า 8 พันติดต่อกันหลายวัน ซึ่งมองเป็นบวกต่อตลาด ขณะที่การรายงานกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ที่สิ้นสุดลง คาดว่ากำไรรวมจะลดลง QoQ ประมาณ 20% แต่แนวโน้มหุ้นส่วนใหญ่ กำไรจะดีขึ้น เราปรับกำไรตลาดปีนี้ขึ้นเป็น 8.7 แสนล้านบาท จากเดิม 8.05 แสนล้านบาท ด้านการเมืองไทย ยังคงต้องติดตามอยู่ห่าง ๆ ทั้งการประชุมสภา และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
ประเด็นที่ต้องติดตาม คือสภาพัฒน์ ประกาศการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 3 เช้าวันนี้ (วันที่ 15) และ GDP ญี่ปุ่น(วันที่ 15 ), GDPยุโรป(วันที่ 16 ), ตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯ(วันที่ 16), และมีตัวเลขยอดขายรถยนต์ (วันที่ 18)
กลยุทธการลงทุน
-ความกังวล “เงินเฟ้อ” กระทบตลาดลดลงนักลงทุนควรมองเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจมากกว่า โดยเฉพาะของไทย ทำให้เรายังเชื่อว่า ดัชนีฯในเดือนนี้ จะผ่าน 1650 จุดได้ จึงยังเป็นจังหวะในการ “สะสม” หุ้นที่ราคาขึ้นไม่มากและหุ้นเติบโตดี
-ราคาน้ำมัน ที่หมดโอกาสไปต่อ เพราะคนรับต้นทุนมากกว่านี้ไม่ได้ นักลงทุนควร “ลด” การถือหุ้น น้ำมัน-ปิโตรเคมี ลง และอาจวกกลับไปหาผู้ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเหล่านี้ที่อาจอ่อนตัวลง อาทิ SCGP, AJ, EPG
-หุ้นที่ราคาขึ้นมามากช่วงก่อนหน้านี้ ควรเลือก “ทยอยขาย” ยกเว้นหุ้นที่อยู่ในกระแสการลงทุน อย่างเช่น หุ้นที่อิงเทคโนโลยี่ หุ้น EV หุ้นเปิดเมือง ที่ยังมีตัวเลือกให้เล่น อาทิ JMART, BBIK, EA, FORTH, CRC, AWC
-หุ้น3 ตัวที่ราคายังอยู่ในระดับต่ำ PTG, SPCG, TVO
-พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำ WICE ออก และนำหุ้น SIS เข้ามาแทน
-น้ำหนักหุ้นในพอร์ตประกอบด้วย SIS(10%), BEM(10%), JMART*(10%), PTG(15%), SAK(10%) , AOT(10%), UBE*(10%), SECURE*(10%)
-------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1