เอสซีจี ไตรมาสแรก ผลงานฟูฟ่อง ทุกธุรกิจฟื้นตัว แรงส่งท่องเที่ยวคึกคัก จีนเปิดประเทศ เร่งปรับตัวรับมือเสี่ยง ศก.โลกเปราะบาง ตลาดอาเซียนฟื้นตัวไม่ชัด แต่ ศก. ค่อนข้างดี คาดไตรมาส 2 ผลงานใกล้เคียง Q1 เผยเป้ารายได้ปีนี้ 10% มีเหนื่อย ขอรอดูผลงานครึ่งปีแรก ก่อนทบทวนเป้าหมายในกลางปีนี้ ชูธงธุรกิจพลังงานสะอาดและปิโตรเคมีเวียดนาม นำทัพขยายการเติบโตระยะยาว
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี หรือ SCC กล่าวว่า ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 1 ปี 2566 มีรายได้ 128,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน (QoQ)กำไร 16,526 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำนวน 11,956 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษอยู่ที่ 4,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,446 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน มาจากยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของตลาดก่อสร้าง การท่องเที่ยวที่คึกคัก ส่งผลให้ความต้องการซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ในไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ราคาถ่านหินปรับตัวลง และธุรกิจลดต้นทุนได้ดีขึ้นจากการใช้เชื้อเพลิงทดแทนและพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น
โดยภาพรวมบริษัทดูดีขึ้น ทุกธุรกิจมีการพัฒนาทิศทางดีขึ้น ในส่วนธุรกิจเคมิคอลส์ มีความพร้อมและสามารถปรับตัวตามสภาวะตลาดได้ดี โดยโรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) ได้เร่งกลับมาดำเนินการผลิตตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เนื่องจากความต้องการเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้นในภูมิภาคจากการเปิดประเทศของจีน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ล่าสุด ปิโตรเคมีครบวงจร LSP (Long Son Petrochemicals - ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์) เริ่มทดลองเดินโรงงาน ผลิตเม็ดพลาสติกป้อนตลาดเวียดนาม ถือว่าใกล้โค้งสุดท้ายพร้อมที่จะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในกลางปีนี้ ส่วน SCG Cleanergy เติบโตต่อเนื่อง ด้วยบริการซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรม ถือว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี และSCG Decor ผสาน COTTO ขยายการเติบโตสู่ผู้นำอาเซียน ในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจร ด้วยนวัตกรรม ดีไซน์ และรักษ์โลก ซึ่งขณะนี้ดำเนินการตามแผนการควบรวมกิจการ
“ในข่วงที่เหลือของปีนี้ ผลงานในไตรมาส 2 นี้ ต้นทุนพลังงานบางอย่างจะลดลง เช่นถ่านหินมีแนวโน้มลดลง แต่ขณะเดียวกันเดือนเมษาฯเป็นเดือนที่มีวันหยุดเยอะ ทำให้ตลาดไม่ค่อยได้ทำงานมากนัก ตัวภาคธุรกิจก็ไม่ได้ทำงานเต็มที่ อาจได้รับผลกระทบก็ต้องติดตามดู นอกจากนี้ใน 3 ตลาดภูมิภาคนี้ เช่น อินโดนีเซียที่อยู่ในฤดูถือศีลสิ้นเดือนนี้ (ด้านดีมาน์ลดลง) ทำให้ไตรมาส 2 ผลงานอาจไม่ต่างจากไตรมาสแรก ส่วนเรื่องปัจจัยเลือกตั้ง ก็ต้องดูรัฐบาลที่เข้ามา ซึ่งต้องรอดูกลางปีนี้ ต้องมองในระยะยาวเกี่ยวกับการใช้งบประมาณทำโครงการต่างๆ ส่วนเป้าหมายของปีนี้ที่คาดรายได้โต10% ก็ยอมรับว่าเหนื่อย ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเปราะบาง ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากพลังงาน ซึ่งเราก็ต้องปรับตัวให้เร็วและสินค้าไหนขายได้ก็ทำมากขึ้น สินค้าไหนขายได้น้อยก็ลดการผลิตลง ดังนั้นในครึ่งปีหลังก็จะมีการประเมินทิศทางโดยรวมอีกครั้ง” นายรุ่งโรจน์ กล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในระยะข้างหน้า ตลาดอาเซียน การฟื้นตัวยังไม่เห็นเด่นชัด โดยอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในบางประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป มีความเสี่ยงเข้าสู่การชะลอตัวจนถึงภาวะถดถอย จากวิกฤติเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และการผันผวนของราคาพลังงาน
ส่วนเศรษฐกิจไทยยังต้องเฝ้าระวัง 3 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1.) ความผันผวนของราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟ และพลังงานอื่น ๆ ซึ่งจะลดทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ดันค่าครองชีพสูงขึ้นทันทีกำลังซื้อหดตัวลง กระทบต่อต้นทุนของภาคการผลิต 2.) ความเสี่ยงภัยแล้ง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) คาดการณ์ปี 2566-2567 อาจมีฝนน้อยกว่าปกติ และฝนทิ้งช่วงมากขึ้น ทั้งเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญ จึงเสี่ยงเกิดภัยแล้งรุนแรงข้ามปี ส่งผลกระทบทั้งภาคประชาชน การผลิต อุตสาหกรรม เกษตร และท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทย 3.) สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่สูงเกินมาตรฐาน ปกคลุมหลายเมืองเศรษฐกิจและท่องเที่ยวเป็นเวลายาวนาน ส่งผลกระทบสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ การเตรียมการรับมือกับปัจจัยเหล่านี้ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันหาทางออก เพื่อลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต คงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง
ดังนั้น เอสซีจี เร่งปรับตัวและร่วมแก้ปัญหาจากปัจจัยเสี่ยงอย่างเต็มที่ โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนและพลังงานแสงอาทิตย์ กำหนดมาตรการใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า เตรียมแหล่งน้ำในพื้นที่ของบริษัทเพื่อสำรองน้ำ และช่วยเหลือชุมชน มุ่งบรรเทาปัญหาฝุ่นด้วยมาตรการเข้มงวด โดยติดตั้งระบบดักฝุ่น การทำเหมืองแบบSemi Open Cut โดยมีขอบเขา (Buffer Zone) เป็นกำแพงกันฝุ่น ฉีดพรมน้ำตามเส้นทางขนส่ง และคลุมผ้าใบรถทุกคัน ปลูกต้นไม้รอบพื้นที่เป็นแนวกันฝุ่น (Green Belt) และร่วมกับคู่ธุรกิจ ลดฝุ่นจากงานก่อสร้าง ด้วยการใช้ BIM ในการออกแบบ และหล่อชิ้นงานสำเร็จรูปหรือทำเป็นโมดูลาร์ประกอบที่หน้างาน (Off-Site Construction) ตลอดจนมุ่งเน้นพิจารณาลงทุนอย่างรอบคอบ ปรับใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และออโตเมชั่น เช่น COTTO นำเทคโนโลยีการประมวลภาพ (Image Processing) วิเคราะห์คุณภาพสุขภัณฑ์ เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสินค้ารวดเร็วมากขึ้น จาก 1 วัน เป็น 1 ชั่วโมง
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “จากเทรนด์รักษ์โลกและค่าไฟราคาสูง ส่งผลให้ SCG Cleanergy ผู้ให้บริการซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรม เติบโตต่อเนื่อง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Grid) สำหรับการซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่สะดวก รวดเร็ว ทั้งยังต่อยอดให้ลูกค้าขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้เองในอนาคต
นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ยอดขายรวมของ SCGC ปรับตัวดีขึ้น จากความพร้อมเเละความสามารถในการปรับตัวตามสภาวะตลาดได้ดี อีกทั้งความต้องการเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้น หลังจากจีนเปิดประเทศ โรงงานระยองโอเลฟินส์(ROC) จึงเร่งกลับมาดำเนินการผลิตให้ทันต่อความต้องการตลาด ล่าสุด โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม เริ่มทดลองเดินเครื่องในส่วนพอลิโอเลฟินส์ (PP, HDPE, LLDPE) เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกป้อนตลาดเวียดนาม ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในกลางปีนี้ ประกอบกับ LSP มีจุดแข็งในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด ขณะเดียวกัน ธุรกิจยังเดินหน้า SCGC GREEN POLYMERTM นวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ หลังจาก SCGC Green Polymer มียอดขายกว่า 140,000 ตันในปีที่ผ่านมา
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจีกล่าวว่า “ผลประกอบการของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างดีขึ้น จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจและลดต้นทุนโดยเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงทดแทน จากร้อยละ 34 ในปีก่อน เป็นร้อยละ 38 และเพิ่มสัดส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ จาก 177 เมกะวัตต์ในปีก่อนเป็น 179 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 1 ปี 2566 ขณะที่นวัตกรรมกรีนมีความนิยมมากขึ้น“ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด” ช่วยลดโลกร้อน มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ50 โดยในไตรมาส 1 ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตได้กว่า80,000 ตัน หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 8 ล้านต้น ทั้งยังแข็งแรง สวยงาม ใช้ก่อสร้างแล้วในหลายโครงการตามมาตรฐานอาคารเขียว ขณะที่ช่วงฤดูร้อนและค่าไฟปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ “SCG Solar Roof Solutions” เติบโตขึ้นร้อยละ 313 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเร่งดัน “SCG Air Scrubber” นวัตกรรมเพื่ออาคารขนาดใหญ่ ช่วยประหยัดพลังงาน ได้ร้อยละ 20-30 และช่วยลดก๊าซเสีย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ล่าสุด ลงทุนเพิ่มกับบริษัท enVerid สตาร์ทอัพชั้นนำสัญชาติอเมริกัน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและคุณภาพอากาศภายในอาคารต่าง ๆ ทั่วโลก”
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า “ผลประกอบการ SCGP ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการบรรจุภัณฑ์เพื่อสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังได้เตรียมลงทุนใน Starprint Vietnam Joint Stock Company (SPV) เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษพรีเมียมคุณภาพสูง ได้แก่ บรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้ (Offset Folding Carton) กล่องบรรจุภัณฑ์คงรูปคุณภาพสูง (Rigid Boxes) และบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความสวยงาม อีกทั้ง ร่วมกับ Origin Materials บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา พัฒนา “Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” มาผ่านกระบวนการแปรรูปจนได้เป็นสารตั้งต้น Bio-PTA เพื่อใช้ผลิตเป็น Bio-PET สำหรับนำไปผลิตบรรจุภัณฑ์และสินค้าต่าง ๆ อาทิ บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และรองรับการใช้ Bio-PET ในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้วัตถุดิบยั่งยืน และสามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ”