บมจ. กรุงเทพพาณิชย์ จับมือไปรษณีย์ไทย ส่งพนักงานไปรษณีย์ลงพื้นที่ตรวจสภาพทรัพย์ NPA ทั่วไทยมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้าน เพิ่มโอกาสขายทรัพย์ได้เร็วขึ้น ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายถึง 6% หนุนกำไรดีขึ้น พร้อมเดินหน้าแผนตั้งบ.ร่วมทุนกับแบงก์ ช่วยปรับโครงสร้างหนี้กลุ่มลูกหนี้พิษโควิด เผยกำลังเจรจา 5-7 แบงก์ คาดชัดเจนกลางปีนี้
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า BAM มีทรัพย์สินรอการขายทุกประเภท ทั้งที่ดินเปล่า บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ อาคารชุด หลากหลายทำเลครอบคลุมในทุกภูมิภาคของประเทศไทย มากกว่า 20,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย ( NPA) มีนโยบายมุ่งเน้นในการฟื้นฟูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มือสอง ให้มีคุณภาพ พร้อมจำหน่ายในราคายุติธรรม โดยมีสำนักงานของ BAM จำนวน 26 แห่ง ที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายแบบครบวงจรเริ่มตั้งแต่ ออกสำรวจทรัพย์ในพื้นที่ต่าง ๆ ปักป้ายแสดงกรรมสิทธิ์ ทำทะเบียนทรัพย์ ประเมินความจำเป็นในการปรับปรุงหรือซ่อมแซมทรัพย์สินเพื่อให้พร้อมขาย ซึ่งการเดินทางเข้าไปสำรวจทรัพย์ในบางพื้นที่อาจต้องใช้เวลาในการเดินทาง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสำรวจทรัพย์ซึ่งกระจายอยู่ทุกทำเลทั่วประเทศ และ BAM ต้องมีการออกสำรวจตรวจสอบทรัพย์สินรอการขายดังกล่าวทุก 3 เดือน BAM จึงได้ร่วมกับไปรษณีย์ไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ มีความชำนาญในการเข้าถึงทุกพื้นที่ของประเทศไทยเป็นอย่างดี โดยไปรษณีย์ไทย จะให้บริการด้านการสำรวจ ดูแลและตรวจสภาพทรัพย์ของ BAM ทั่วประเทศ ช่วยให้ BAM สามารถลดขั้นตอนเวลาการทำงาน และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งความร่วมมือของทั้งสอง หน่วยงาน จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภารกิจในการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายให้มีศักยภาพมากขึ้น รวมถึงBAM ยังใช้บริการงานด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมส่งเสริมการขาย ผ่านสื่อ ต่าง ๆ ทั้ง Online และ Offline ของไปรษณีย์ไทยอีกด้วย
"สิ่งที่จะได้จากการจับมือกับไปรษณีย์ในครั้งนี้ คือ การหมุนเวียนของสินทรัพย์ที่เร็วขึ้น ก็จะทำให้มีเงินไปลดต้นทุนดำเนินงานได้มาก จะทำให้ Profit Margin ดีขึ้น จากปัจจุบันจุดคุ้มทุนหรือ Breakeven อยู่ที่ราว 7 ปี ก็จะลดลงเป็น 5 ปีเท่านั้น ในแง่การลดค่าใช้จ่ายเราลง 6% ที่เกิดจากต้นทุนดอกเบี้ยจากการออกหุ้นกู้ ราว 3% และมูลค่าหนี้ 8 หมื่นล้านบาท " นายบัณฑิตกล่าว
สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV)กับธนาคาร เพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายบัณฑิต กล่าวว่า ขณะนี้มีการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ธนาคารที่รัฐถือหุ้นอีก 2 แห่ง และมีบริษัทบริหารสินทรัพย์อีก 1 แห่ง ซึ่งคาดจะว่าจะเห็นความขัดเจนภายในครึ่งแรกของปีนี้
"การจับมือ JV กับแต่ละแห่ง จะแยกกองทรัพย์สินบริหารกันไป และเจรจาราคาที่จะซื้อตามมาตรฐาน ซึ่งหากตกลงกันได้ก็จะช่วยกันบริหาร เพื่อให้ลูกหนี้เดินหน้าปรับปรุงโครงสร้างหนี้และรอดกลับมาปกติได้ เราจะเปิดรับทุกธุรกิจ การตั้ง JV เพื่อรองรับแนวโน้มหนี้ไหลเป็น NPL ทั้งระบบจะเพิ่มขึ้นราว 2-3 แสนล้านบาทในปีหน้า ข้อดีที่ทำ JV สำหรับบสก. จะแบ่งกับแบงก์รับความเสี่ยงในการบริหารคนละครึ่งตามสัดส่วนการถือหุ้นคนละ 50% และที่สำคัญ การร่วมมือกับนี้ จะมีศักยภาพในการบริหารหนี้ และไม่กระทบต่อสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบสก. ที่ปัจจุบันอยู่ไม่เกิน 2 เท่า แต่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.3-2.5 เท่า ก็ไม่กระทบต่อเครดิต เรทติ้งของ บสก. ในส่วนของธุรกิจรับบริหารหนี้ เราก็ยังดำเนินการไปตามปกติ โดยปีนี้ตั้งเป้ารับซื้อหนี้ NPL และ NPA ไม่ต่ำกว่า 9 พันล้านบาท"นายบัณฑิตกล่าว
ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ไปรษณีย์ไทยมีความพร้อมในการสนับสนุนการดำเนินงานของ BAM อย่างเต็มที่ ซึ่งได้ใช้ความพร้อมด้านเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ มากกว่า 10,000 แห่ง ประกอบกับศักยภาพของบุคลากรเครือข่ายพนักงานไปรษณีย์ กว่า 20,000 คน ที่มีความเชี่ยวชาญ รู้ลึก รู้จริง และเข้าถึงในทุกพื้นที่ เพื่อทำหน้าที่สำรวจสินทรัพย์ของ BAM ที่มีอยู่ทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงความร่วมมือในด้านการประชาสัมพันธ์ทรัพย์สิน และกิจกรรมของ BAM ผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของไปรษณีย์ไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและต่อยอดทางธุรกิจให้แก่ BAM ด้วย ” ดร.ดนันท์ กล่าว