บล.ฟิลลิป แนะ “ทยอยซื้อ” หุ้น SCC ราคาพื้นฐาน 400 บ. ชี้ต้นทุนพลังงานกระทบ แต่คาดช่วงที่เหลือปีนี้ แนวโน้มผลดำเนินงานฟื้นตัวจากส่วนของเคมิคอลส์ กลุ่มซีเมนต์ แพคเกจจิ้งตามเศรษฐกิจโลกเติบโต ด้านผู้บริหาร SCC เปิดแผนรับมือ คงเป้ายอดขายปีนี้ 10% เผย SCGC ระดมทุน นำเงินขยายลงทุนในต่างประเทศ ส่วนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร ที่เวียดนาม ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ คาดเห็นผลิตเชิงพาณิชย์ปีหน้า
บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) วิเคราะห์งบผลดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2565 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ที่กำไรลดลงจากผลกระทบของต้นทุนพลังงาน แต่ยังแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 400 บาท แม้ว่ากลุ่มเคมิคอลล์ จะยังได้รับการกดดันจากการดำเนินงานให้ฟื้นตัวจำกัด แต่คาดแนวโน้มผลดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ มีโอกาสทยอยฟื้นตัวทั้งในส่วนของเคมิคอลส์ รวมถึงกลุ่มซีเมนต์และแพคเกจจิ้งตามเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น
บล. ฟิลลิป ระบุด้วยว่า SCC ทำกำไร 8,844 ล้านบาท ออกมาได้ดีกว่าที่บริษัทคาดการณ์ 10% และกำไรที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการลดลงของกลุ่มเคมิคอลส์ แม้ได้ผลบวกจากราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนวัตถุดิบปรับขึ้นมากกว่า ส่งผลให้ส่วนต่างราคา HDPE และ PP ลดลง รวมถึงกลุ่ม BD ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่ยังมีกำไรจากสต๊อก 1,080 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง แม้ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้การฟื้นตัวยังจำกัด แต่ได้ส่วนช่วยจากกลุ่มซีเมนต์และกระเบื้องที่ดีขึ้นทั้งในไทยและเอเซีย จากการฟื้นตัวของภาคก่อสร้าง ทำให้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้ผลบวกจากการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
ด้านนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่บม บริษัทปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี (SCC) เปิดเผยว่า เอสซีจี ยังคงแข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศ แม้ต้องเผชิญภาวะต้นทุนสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน กระทบต่อกำไรของบริษัทก็ตาม โดยผลดำเนินงวดไตรมาสที่ 1 ปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 152,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q0Q) เนื่องจากยอดขายที่สูงขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ และยังเติบโตร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ สาเหตุหลักจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด
สำหรับกำไร 8,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 QoQ ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของธุรกิจอื่น (ธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร) แต่กำไรลดลงร้อยละ 41 สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 1 นี้ ประกอบกับในช่วงต้นปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ดีกว่าปกติ สาเหตุจากวิกฤตฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด
โดยภาพรวมในไตรมาส 1/65 เอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 51,388 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution คิดเป็นร้อยละ 17 และ 5 ของรายได้จากการขายรวม
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ทั้งสิ้น 66,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44 ของรายได้จากการขายรวม
โดยหากดูรายได้แยกเป็นรายธุรกิจซึ่งเป็นบริษัทลูก ว่า ธุรกิจเคมิคอลส์ ภายใต้ บมจ. เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC (เอสซีจีซี) มีรายได้จากการขาย 69,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,588 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และในช่วงต้นปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ดีกว่าปกติ สาเหตุจากวิกฤตฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด ทั้งนี้ SCGC กำลังอยู่ระหว่างนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ด้านธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 50,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการสินค้าในภูมิภาคและสินค้ากลุ่มกระเบื้องเซรามิกเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 จากไตรมาสก่อน ในขณะที่ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับธุรกิจแพคเกจจิ้ง ภายใต้ บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) มีรายได้จากการขาย 36,634 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรวมยอดขายของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab และการเติบโตของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Business) ในกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค การส่งออกอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยง อีกทั้งปริมาณความต้องการและราคาของเยื่อกระดาษที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,658 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อน จากรายการปรับปรุงประมาณการเงินค่าหุ้นที่คาดว่าจะต้องจ่าย (Earn-Out) ที่ทำให้กำไรสำหรับงวดสูงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 และลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนด้านวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
“แม้ต้องเผชิญภาวะต้นทุนสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งบริษัทรับมือกับสภาวะดังกล่าว โดย เร่ง 4 กลยุทธ์ รุกไว ลุยตลาดโลก ได้แก่ 1.) บริหารจัดการธุรกิจเชิงรุก 2.) ส่งมอบนวัตกรรมรับเทรนด์ทันท่วงที 3.) เดินหน้าลงทุนรับโอกาสตลาดโลกโต 4.) เร่ง ESG (Environmental, Social, Governance) สร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ เพื่อการเติบโตระยะยาว ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 10%” นายรุ่งโรจน์กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนรับโอกาสตลาดโลกโต บริษัทได้ส่ง SCGC ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 65 เพื่อระดมทุนเดินหน้าขยายธุรกิจศักยภาพสูง สร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน ตอบโจทย์ตลาดโลกและความยั่งยืนไปพร้อมกัน
ส่วนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม ก่อสร้างตามแผนร้อยละ 93 โดยเตรียมความพร้อมด้านกำลังพล ทั้งด้านการผลิตและการขายเพื่อดำเนินการเชิงพาณิชย์ในครึ่งแรกของปี 2566
ช่วงที่ผ่านมา SCGC ปิดดีลซื้อหุ้นกว่าร้อยละ 70 ของบริษัท ซีพลาสต์ (Sirplaste) ผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกส ผนึกกำลังเพิ่มกำลังการผลิต พร้อมปรับปรุงคุณภาพพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin: PCR) รับความต้องการตลาดโลก สอดคล้องกับเป้าหมายของ SCGC ที่จะขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573