บิ๊ก CPFลั่นผลงานครึ่งปีหลังสดใสกว่าครึ่งปีแรก มั่นใจยอดขายโตพุ่งเกินเป้า 10% หลังครึ่งปีแรกโกยยอดแล้ว 12% ชี้แนวโน้มไตรมาส 3 ลุ้นกำไรรวมกลับมาเท่าเดิมที่ 6 พันลบ. อานิสงส์จากธุรกิจในจีนพลิกกลับมาทำกำไรได้ทั้งยอดขายและราคาขายหมูที่ปรับขึ้นมา หลังสะดุดพิษโควิด-ราคาหมูตกในช่วงไตรมาส 2 ด้านต้นทุนเริ่มทรงตัว ขณะที่ขยับราคาสินค้าขายขึ้นมา บางส่วนใช้วิธีปรับไซซ์ลงตามต้นทุน พร้อมปรับแผนใช้งบลงทุนลงเหลือ 1.5 หมื่นล้าน เน้นรักษาสภาพคล่องรองรับเศรษฐกิจผันผวน
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)บริษัทชั้นนำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมอาหารที่มีการลงทุน และร่วมลงทุนใน 17 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการส่งออกสินค้าไปยัง 40 ประเทศ เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2565 ของ CPF จะมีสัญญาณที่ดีขึ้นมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะในไตรมาส 3 นี้ จากสถานการณ์ในจีนกลับมาดีขึ้นมาก กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆและความต้องการใช้จ่ายบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นแรงส่งให้ยอดขายเนื้อหมูและเนื้อไก่เพิ่มขึ้นรวมถึงราคาขายเนื้อหมูในจีนที่ปรับเพิ่มขึ้น จึงคาดว่าไตรมาส 3 นี้ จะเห็นผลดำเนินงานธุรกิจในจีนจะมีกำไรกลับมา และหนุนให้กำไรโดยรวมของบริษัทกลับมาเท่าเดิมที่เคยอยู่ระดับ 6 พันล้านบาท หลังจากที่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา CPF มีกำไรรวม 4.2 พันล้านบาท โดยธุรกิจในประเทศต่างๆดีเกือบทุกที่ยกเว้นในจีนที่ขาดทุนราว 2-3 พันล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการ Zero Covidและปัญหาราคาหมูที่ตกลงมาก ส่วนด้านของต้นทุนต่างๆก็เพิ่มขึ้นราว 5% ขณะที่ยอดขายเติบโต 12%
"ในช่วงครึ่งปีหลังคาดยอดขายรวมจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยทั้งไตรมาส 3 และไตรมาส 4 โดยปีนี้มีโอกาสที่ยอดขายรวมจะเติบโตทะลุเป้าหมายที่วางไว้ 10%จากปี 2564 สำหรับผลกระทบจากด้านต้นทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกนั้น เนื่องจากต้นทุนราคาอาหารสัตว์ที่ปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาข้าวโพด ที่เกิดมาการเก็งกำไรสินค้าเกษตรในตลาด Futures แต่ตอนนี้ก็เริ่มเห็นราคาค่อยๆปรับลงมาแล้ว และน่าจะเห็นต้นทุนอาหารสัตว์ชัดเจนราวไตรมาส 4 ส่วนต้นทุนด้านราคาพลังงาน คาดว่าราคาน้ำมันน่าจะทรงตัวหรือปรับลงเล็กน้อยตามราคาน้ำมันโลก ส่วนต้นทุนค่าไฟยังต้องติดตามดูว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะมีผลต่อต้นทุนการผลิตด้วย โดยเฉลี่ยต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 10-20% ขึ้นกับแต่ละประเทศ เช่น ในไทยต้นทุนเพิ่มไม่ถึง 10% เพราะรัฐบาลมีมาตรการช่วย จึงไม่ได้ปรับเพิ่มเร็วเหมือนสหรํฐที่ราคาต้นทุนเพิ่ม ราคาขาก็เพิ่มตามทันที ทำให้เราต้องปรับราคาขายหรือปรับขนาดสินค้าลง เพราะธุรกิจเราเน้นขายวอลุ่ม(ยอดปริมาณ)เยอะ จึงต้องบาลานซ์ทั้งการปรับราคาขายและขนาดสินค้า เรามองว่า หลังจากนี้ ต้นทุนนี้น่าจะทรงตัวหรืออาจลดลงนิดนึงจากก่อนหน้านี้ "นายประสิทธิ์กล่าว
สำหรับแผนใช้งบลงทุนของ CPF นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ปกติบริษัทจะใช้งบลงทุนปีละ 2.5 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากปีนี้เศรษฐกิจมีความผันผวน จึงได้ปรับลดการใช้งบลงทุนเหลือ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท เพื่อถือกระแสเงินสดไว้ก่อน และส่วนใหญ่การลงทุนจะเป็นพวกเครื่องจักรใหม่ๆเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การขยายฟาร์มหมู และสร้างโรงงาน Plant base food รองรับการผลิตเพื่อส่งออก คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในช่วงเดือน เม.ย.66
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การขยายไลน์การผลิตในกลุ่มสินค้า Food Tech เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจให้กับบริษัทนั้น ช่วงที่ผ่านมาได้ทำการผลิต Plant base food ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม และยังมี Cell base food ที่เป็นสินค้าที่มีรสชาติที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง ซึ่งช่วงที่ผ่ามา บริษัทได้ลงทุนในสตาร์อัพที่ทำ Cell base food 2 ที่เป็นบริษัทในอิสราเอลและสหรัฐ เพื่อจะขยายในตลาดเอเชีย อย่างไรก็ตาม สัดส่วนยอดขายของกลุ่มสินค้านี้ยังไม่ได้มีมากนักเมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าหลักของบริษัท