Market

SCC แจกปันผลฯ 2.50 บ./หุ้น หั่นเป้ารายได้ปี 66 ต่ำกว่าปีก่อน ลดงบลงทุนเหลือ 4 หมื่น ลบ.
27 ก.ค. 2566

เอสซีจี  หั่นเป้ารายได้โต 10%  เหลือเป็นคาดรายได้ปีนี้ ต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ 5.6 แสนล้านบาท หลังผลงานครึ่งปีแรกทุกธุรกิจแผ่วตามสภาพตลาดที่อ่อนแอ  พร้อมลดงบลงทุนเหลือ 4 หมื่นล้าน  มองครึ่งปีหลังมีทั้งปัจจัยในและนอกประเทศรุมเร้า  หวังตลาดอาเซียนพลิกฟื้นดีกว่าครึ่งปีแรก   เดินหน้าแจกเงินปันผลระหว่างกาล  2.50 บ./หุ้น ขึ้นXD  9  ส.ค. 

 

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี  หรือหุ้น SCC นำทัพผู้บริหารในเครือร่วมแถลงข่าวผลประกอบการครึ่งปีแรกและแนวโน้มธุรกิจ  โดยกล่าวว่า   สถานการณ์เศรษฐกิจโลก จีนและอาเซียน ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ เอสซีจีได้เร่งปรับตัวต่อเนื่องตามแผนงานด้วยการลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ด้วยอานิสงส์จากการท่องเที่ยว ตลาดวัสดุก่อสร้างดีขึ้นโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว  ส่งผลให้ผลประกอบการเอสซีจีในไตรมาส 2/2566 ดีขึ้นกว่าไตรมาส แรกโดยมีรายได้ 124,631 ล้านบาท  กำไรสุทธิ 8,082 ล้านบาท  ซึ่งลดลงเนื่องจากมีการบันทึกรายการพิเศษ  แต่หากดูกำไรจากการดำเนินงาน 5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน  (QoQ)  จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นในธุรกิจเคมิคอลส์ และต้นทุนพลังงานที่ลดลง  

 

ภาพรวมในครึ่งปีแรก เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลง 17 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว มีกำไรสำหรับงวด 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31 %  YoY มาจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ขณะที่มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ(Profit excluding extra items) 9,786 ล้านบาท ลดลง 49 % YoY พร้อมกันนี้  คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี2566 ในอัตรา 2.5  บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000  ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวัน 9 สิงหาคม 2566   และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 10 สิงหาคม 2566    

 

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ เอสซีจีในปี 2566 นี้ นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า  หลังจากเห็นภาพรวมครึ่งปีแรกรายได้ลดลงจากทุกกลุ่มธุรกิจ  จึงได้ทบทวนปรับเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ ที่เคยคาดเติบโต 10%  โดยมองว่าปีนี้มีแนวโน้มรายได้จะต่ำกว่าปี 2565 ที่มีรายได้รวม 5.82 แสนล้านบาท 

 

โดยในครึ่งปีหลัง ยอดขายน่าจะดีขึ้น กว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากตลาดต่างประเทศในฝั่งอาเซียนที่กลับมาดีขึ้นจากที่เศรษฐกิจซบเซาในครึ่งปีแรก  โดยเฉพาะในเวียดนาม  กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่เศรษฐกิจดีขึ้น ส่วนในไทย ยังไม่แน่ใจ แต่หวังว่านักท่องเที่ยวยังมาอย่างต่อเนื่อง จึงคิดว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นได้ โดยธุรกิจต่างในบริษัทลูก นำโดยธุรกิจแพคเกจจิ้ง (บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง)น่าจะดีขึ้น ส่วนธุรกิจเคมิคอลล์ (บมจ. เอสซีจี  เคมิคอลส์) น่าจะทรงตัว  เนื่องจากยังมีแรงกดดันจาก Supply ใหม่จากจีนและสหรัฐ ทำใผ้ราคาอ่อนตัวลง  และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างคาดครึ่งปีหลัง ยอดขายจะทรงๆตัว เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน เป็นโลว์ซีซั่น ของธุรกิจนี้  

 

"แนวโน้มในครึ่งปีหลัง จึงยังมีความท้าทายมากทั้งในและต่างประเทศ ที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งภายในประเทศ ยังมีความกังวลเรื่องภัยแล้งจากสถานการณ์เอลนีโญที่จะเกิดขึ้นในไทยในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า และปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า  จึงกังวลว่าจะกระทบต่อโครงการลงทุนใหม่ๆ จะยังไม่เกิดขึ้น  ส่วนปัจจัยในค่างประเทศ  เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงชะลอตัวในสหรัฐฯ และยุโรป  ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เพราะเงินเฟ้อยังสูงอยู่ ก็จะกระทบด้านต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น"

 

สำหรับงบก่รลงทุนในปีนี้ เอสซีจีได้ปรับลดลงเหลือ 4 หมื่นล้านบาท จากเดิมกำหนดไว้ที่ 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจ บริษัทจึงต้องรอบคอบในการลงทุนโดยปีนี้จะใช้เงินลงทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ LSP ในเวียดนาม  ที่เตรียมจะทดลองเดินเครื่อง (Test Run) โรงโอเลฟินส์แครกเกอร์ และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 4 นี้  รวมทั้งลงทุนโครงการพลังงานสะอาด 

 

ส่วนความคืบหน้าการนำ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นบริษัทเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ เพื่อสรุปกรอบเวลาการนำ SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากเลื่อนมาจากปีก่อน และล่าสุดมีกำหนดเข้า้ทรดซื้อขายหุ้นในช่วงไตรมาส 4/2566

 

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีบริหารต้นทุนพลังงานได้ดีในช่วงที่ราคาพลังงานผันผวน โดย 6 เดือนแรกของปี 2566 โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยได้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนได้ร้อยละ 40 นอกจากนี้ ธุรกิจพลังงานสะอาด SCG Cleanergy ซึ่งให้บริการซื้อ-ขายไฟฟ้าครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรม เติบโตต่อเนื่อง โดดเด่นด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid เริ่มใช้งานแล้วที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง ทั้งนี้เอสซีจีมีการติดตั้งโซลาร์สำหรับใช้ภายใน และส่วนที่ให้บริการกับภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชนผ่าน SCG Cleanergy คิดเป็นกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 231 เมกะวัตต์ ณไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ขณะเดียวกันเอสซีจียังได้ลงทุนใน Rondo Energy สตาร์ทอัพด้านพลังงานสะอาดระดับโลก จากสหรัฐอเมริกา ร่วมวางแผนผลิตวัสดุกักเก็บความร้อน (Thermal Media) สามารถกักเก็บความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน (Rondo Heat Battery) นำพลังงานแสงอาทิตย์มาเก็บเป็นความร้อน ใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ตามแนวทาง ESG นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมลงทุนใน NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เพื่อขยายธุรกิจทั้งในไทยและอาเซียน โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com