SJWD เดินเกมบุกธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสู่เป้าผู้นำอาเซียน มั่นใจปีนี้โกยรายได้ 3 หมื่นล้านบา ท และ 3 ปี รายได้โตปีละ 12% กำงบฯ 5 พันล้าน ซุ่มเจรจา M&A กว่าสิบราย ต่อยอดโตระยะยาว กลางปีปิดดีลใหญ่ถือหุ้น 100% ใน SCG Inter Vietnam ให้บริการธุรกิจเครือ SCG และลูกค้าทั่วไปในเวียดนาม รุกขนส่งสินค้าข้ามแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมนำโมเดล “คลังสินค้าห้องเย็น” และ “โลจิสติกส์ยานยนต์” ในไทย บุกเวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ลั่น ปี 70 มาร์เก็ตแคปแตะ 1 แสนล้าน
นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ได้รวมกิจการเป็นบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ผสานความร่วมมือตามแผนงานทร่วางไว้ และเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากผลกานดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมาแล้ว มีรายได้รวมเติบโต 4.9 พันล้านบาท เติบโต 250% และกำไรรวม 231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้เป็นไปตามเป้าหมายปี 2566 นี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากในประเทศสัดส่วน 90% และต่างประเทศ 10% ซึ่งปัจจุบันกระจายอยู่ใน 9 ประเทศในอาเซียน พร้อมกันนี้ ปีนี้เตรียมงบลงทุนรวม 3,500 -5,000 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจและคาดหวังปิดดีลการลงทุนกิจการ (M&A) เพิ่มเติมได้ภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีดีลที่เจรจากว่าสิบดีล ทั้งในและต่างประเทศ และมีดีลใหญ่หลักพันล้านบาทด้วย
สำหรับแผนการระดมทุนในปีนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้วงเงินประมาณ 4 พันล้านบาทอายุหุ้นกู้ราว 3 ปี คาดจะเสนอขายได้ในปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นกันยายนนี้ โดยเงินที่ระดมทุนได้จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนรวมถึงขยายธุรกิจและใช้รีไฟแนนซ์เงินกู้ยืมที่มีต้นทุนสูง ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้บริษัท
“ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ จากปัจจุบันอยู่ระดับ BB+ โดยบริษัทจัดอันดับเครดิต ซึ่งหลังจากรวมกิจการแล้วในช่วงที่ผ่านมาได้ผสานความร่วมมือกันเพื่อลดต้นทุนแล้วบางส่วน ได้แก่ การรวมคำสั่งซื้อสินค้าและบริการ เช่น การใช้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ, ซื้อประกันภัย เป็นต้นการรวมฟลีตรถและเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการที่ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าการปรับอะนดับเครดิตฯ จะมีผลต่อการลดต้นทุนทางการเงินให้แก่บริษัทได้อีกทาง”
นายบรรณ กล่าวว่า ส่วนแผนยุทธศาสตร์ขยายธุรกิจในไทยและอาเซียน ล่าสุดเตรียมเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จากบริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ตามแผนงานที่วางไว้ โดยปัจจุบัน SCG Inter Vietnam เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่ มีลูกค้าหลักเป็นธุรกิจในเครือ SCG และให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไป ล่าสุดเตรียมให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายแก่สินค้าเคมีภัณฑ์ในโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ซึ่งเป็นโครงการคอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีขนาดใหญ่แห่งแรกในเวียดนาม ที่ลงทุนโดยเครือ SCG คาดว่าการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะแล้วเสร็จในวันที่ 1 มิถุนายน 2567 และคาดว่าในช่วงแรกจะรับรู้รายได้จาก SCG Inter Vietnam 800-1,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ได้วางแผนร่วมมือกับ Transimex Corporation ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ที่ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำในเวียดนามเพื่อร่วมกันขยายธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายขอบเขตการบริการไปยังธุรกิจใหม่ บริษัทฯ ได้ต่อ ยอดด้านการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนของทั้ง 2 ฝ่าย กับ Cambodia Railway พาร์ทเนอร์จากกัมพูชา เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากกัมพูชา-ไทย ในรูปแบบแบบ “ไฮบริด โมเดล” ครอบคลุมการขนส่งทางรางและทางรถ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการให้บริการและช่วยลดต้นทุนแก่ลูกค้า โดยบริษัทฯ ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในไทยที่สามารถ ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากกัมพูชา-ไทย แบบไฮบริดและ “Door-to-Door Service” (จากผู้ส่งถึงผู้รับ) ตอกย้ำการเป็น First Mover ในการนำเสนอบริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน นอกจากนี้ได้วางแผนยกระดับธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถ เป็น “สถาบันสอนขับรถ” เพื่อขยายบริการฝึกอบรมแก่บุคลากรภายในเครือ SCG ไปยังลูกค้าภายนอก
“เป้าหมายระยะยาวของเรา คาดว่าในปี 2569 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า จะมียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 12% โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า30% ซึ่งมาจากการเจิบโตทั้ง organic และ inorganic เราได้ใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่าย ทำ Cross-Sale และ Up-Sale เพื่อเพิ่มรายได้ในอนาคต และคาดว่าหุ้นSJWD จะมีมาร์เกตแคป 1 แสนล้านบาทในปี 2570 “นายบรรณกล่าว
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า บริษัทฯวางแผนขยายธุรกิจเดิมและรุกให้บริการใหม่ ๆ ผ่านการร่วมทุนและทำ M&A โดยเตรียมนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย ต่อ ยอดขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายการให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับภูมิภาคและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจให้บริการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย โดยมีแผนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในประเทศ เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ไปยังโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรและจัดส่งแก่ดีลเลอร์รถทั่วประเทศ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนในปีหน้าและรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างวางแผนนำโมเดลธุรกิจ “คลังสินค้าห้องเย็น” และ “โลจิสติกส์ยานยนต์” ไปขยายการลงทุนในประเทศเวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรสูงสุด 3 อันดับแรกในอาเซียน รูปแบบจะเป็นการเข้าถือหุ้นหรือร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ในแต่ละประเทศ โดยมองว่าทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวมีศักยภาพสูง เนื่องจากมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นและยังเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคอีกด้วย
นอกจากนี้ ได้วางแผนขยายการให้บริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ยาและเวชภัณฑ์, สินค้าเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งจะต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในบริการคลังสินค้าห้องเย็นและรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิสำหรับวัคซีน โดยได้วางงบลงทุน (เฉพาะธุรกิจขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ) ตามแผน 5 ปี ประมาณ 450 ล้านบาท
“หลังจากรวมกิจการเป็น เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ ทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและศักยภาพเพิ่มขึ้น รุก ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและพร้อมรับมือกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมและความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ” นายชวนินทร์ กล่า