นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2565 ว่า แม้ว่าปี2565 อุตสาหกรรมประกันชีวิตต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับช่วงครึ่งปีแรกจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ไทยประกันชีวิตยังคงมีผลประกอบการที่เข้มแข็ง โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 9,265 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2564 โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ที่12,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%
ขณะที่ผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญา(VONB) อยู่ที่ 7,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% โดยอัตรากำไรของ VONB หรือVONB Margin ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ (Embedded Value) ที่ 145,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2% ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของAPE และ VONB ในทุกช่องทางการขาย
“บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งผลประกอบการที่เติบโตสูง สะท้อนความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Multi-Channel และการพัฒนาสู่ดิจิทัล หรือ Digital Transformation ของ บริษัทฯ โดยช่องทางตัวแทนฯ มีการพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลสำหรับการขายและการดูแลลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่แอปพลิเคชัน MDA PLUS รวมถึงมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่มีผลกำไรที่ยั่งยืน ขณะที่ช่องทางพันธมิตรยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ พัฒนาเครื่องมือการขายดิจิทัล และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนการขยายตลาดของพันธมิตร” นายไชยกล่าว
สำหรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างกำไรที่ดี และไม่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เช่นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผล หรือ Participating Product ผลิตภัณฑ์ควบการลงทุน และสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ
นายไชยกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าในปีที่ผ่านมาอัตราการเรียกร้องสินไหมค่ารักษาพยาบาลจากโควิด-19 จะสูงขึ้น แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เนื่องจากไทยประกันชีวิตไม่มีการขายผลิตภัณฑ์ประกันโควิด-19 ประเภทเจอจ่ายจบ และการเรียกร้องสินไหมค่ารักษาพยาบาลจากโควิด-19 เริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 นอกจากนี้อัตราส่วนเงินกองทุน (CAR Ratio) ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 420% ณ เดือนธันวาคม 2565 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้มาก