ธนาคารกรุงศรีอยุธยา โชว์กำไรแกร่ง 7,418 ล้าน โตกว่างวดเดียวกันปีก่อน 14% เหตุกำไรจากการดำเนินงานเพิ่ม และการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิต
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุด 30 มีนาคม 2565 มีกำไรสุทธิ 7,418.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.01 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 6,504.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.88 บาท
โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงาน และการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
รายได้ดอกเบี้ยในไตรมาส 1/2565อยู่ที่จำนวน 24,752 ล้านบาท ลดลงจำนวน 252 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อที่มีสัดส่วนสินเชื่อเพื่อธุรกิจมากขึ้นในระหว่างไตรมาส
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่จำนวน 4,880 ล้านบาท ลดลงจำนวน 188 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7จากไตรมาส 4/2564 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของดอกเบี้ยจากเงินรับฝาก สะท้อนการลดลงของจำนวนเงินรับฝากประจำ
ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่จำนวน 19,872 ล้านบาท ลดลงจำนวน 64 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 จากไตรมาส 4/2564
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ร้อยละ 3.28 จากร้อยละ 3.41 ในไตรมาส
4/2564
ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่จำนวน 8,349 ล้านบาท ลดลงจำนวน 502 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 5.7จากไตรมาส 4/2564
ณ สิ้น 30 มีนาคม 2565 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อรวม 1,928,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2564 จากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเติบโตถึง 3.9% และ 4% ตามลำดับ ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยลดลงเล็กน้อยที่ 0.1% เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งส่งผ่านไปยังกำลังซื้อของประชาขนที่ลดลง อีกทั้งปริมาณการใช้จ่ายที่ลดลงตามปัจจัยด้านฤดูกาล
ขณะที่เงินรับฝากอยู่ที่ 1,829,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2564 ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์
อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 18.25% เทียบกับ 18.53% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564