ซุปเปอร์เทรดเดอร์ฯ ส่องตลาดหุ้นไทยปัจจัยลบรุมเร้า ไร้ข่าวดีหนุน มองหุ้นใหญ่ปัจจัยพื้นฐานยังดี เงินบาทอ่อนเป็นผลดีต่อหุ้นส่งออกนำโดย กลุ่มอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ รร-สายการบิน ส่วนเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นหนุนหุ้นแบงก์-ประกัน เตือนระวังเสี่ยงหนี้ครัวเรือน กดดัน NPLในระบบสูง คาด SET มีแนวรับแรก 1,560-1,580 จุด กลยุทธเทรดตามกรอบ
นายกระทรวง จารุศิระ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ ซุปเปอร์เทรดเดอร์ โฮลดิ้ง ผู้ริเริ่มโครงการ ซุปเปอร์ เทรดเดอร์ ไทยแลนด์ เป็นโครงการค้นหาเทรดเดอร์มืออาชีพครั้งแรกของประเทศไทย และบริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด (SPTR) ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุน และโค-เทรดดิ้ง สเปซ (Co-Trading Space) แห่งแรกของเมืองไทย เปิดเผยว่า ตลาดการลงทุนขณะนี้ ยังคงได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย อาทิ ปัญหาเงินเฟ้อสูงทั่วโลก ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นแต่ค่าแรงคงเดิม ปัญหาสินค้าการเกษตรและโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้น รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า อย่างไรก็ดี ในมุมมองส่วนตัวเชื่อว่าวิกฤติเศรษฐกิจจะไม่เกิด หากไม่มีปัจจัยนอกเหนือจากนี้มากระทบ เพราะการที่เงินบาทอ่อนค่า อาจทำให้ภาคนำเข้าได้รับผลกระทบ แต่ขณะเดียวกันสินค้าส่งออกจะได้รับผลบวก รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวในประเทศที่คนต่างชาติเข้ามา จึงมองว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะไม่ขาดทุน
“ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ จะมีกลุ่มที่ได้โอกาสเสมอ แม้ว่าการบริโภคภายในประเทศหดตัว แต่การท่องเที่ยวจะกลับมา หรือ แม้แต่ปัญหาเงินเฟ้อสูง เงินบาทอ่อน ก็มีกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาหาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโรงแรมและสายการบิน ขณะที่ปัญหาการขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อกลุ่มธนาคารและบริษัทประกันที่นำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในตราสารหนี้ ทำให้ได้ส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แต่ส่วนที่น่าเป็นห่วงคือหนี้ภาคครัวเรือน หลังโควิดจบแล้ว อาจเห็นยอด NPL ในระบบสูงขึ้น”
จากการประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) คาดว่าจะอยู่ในกรอบกว้าง 1,580-1,700 จุด มีแนวรับแรกอยู่ที่ 1560-1580 จุด หากไม่หลุดแนวรับนี้ แนะนำให้ใช้กลยุทธ์เทรดตามกรอบ "ไม่ควรมองไกล"กว่านั้น เพราะยังไม่เห็นข่าวดีมากพอที่จะทำให้ดัชนียืนเหนือ 1,700 จุด ได้ แต่หากแนวรับหลุด 1,560 จุด มีแนวรับต่อไปอาจลงได้ถึง 1,400 จุด ซึ่งเป็นแนวรับที่หลุดยาก ภายใต้เงื่อนไขไม่มีปัจจัยลบเรื่องใหม่เข้ามากดดัน
"มองว่าตลาดหุ้นไทย ยังคงมีบริษัทใหญ่ ๆ ปัจจัยพื้นฐานดีเป็นเสาค้ำยันตลาดอยู่ ยกตัวอย่าง เช่น PTT SCC ADVANC CPALL BDMS AOT PTTEP GULF OR BBL KBANK SCB TOP CPF CPN ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นใหญ่ที่มีค่าเฉลี่ยของ PE ตามปกติ ไม่ได้ถือว่าแพง จึงมีความเสี่ยงที่ราคาจะปรับตัวลงที่จำกัด" นายกระทรวงกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงจังหวะนี้ แนะนำให้เลือกลงทุนในกลุ่มที่มีเกราะกำบังและแข็งแกร่งกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มอาหารส่งออก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มธนาคาร-ประกัน ส่วนกลยุทธ์การเทรดให้ใช้ Hit&Run Style เล่นหุ้นตามตลาด และเน้นซื้อในจังหวะที่ได้เปรียบ
นายกระทรวง กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของ ซุปเปอร์เทรดเดอร์ โฮลดิ้ง ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจโดยมีเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นเป็นหนึ่งในกลไกสร้างนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีส่วนร่วมส่งเสริมคุณภาพให้กับตลาดหุ้นไทย และต้องการสร้างเวทีในการถ่ายทอดความรู้ด้านการลงทุนสู่นักลงทุนนำมาสู่ความยั่งยืนของตลาดทุน โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันเป็น Investment Gateway ที่มุ่งให้ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเป็นหลัก และปีนี้มีความตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ให้นักลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์การลงทุน
นายจุติ เนื่องจำนงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจของซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค เป็น Investment Academy ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี นับตั้งแต่ปีแรกที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2559 โดยขณะนี้มีการพัฒนาคอร์สเรียนทางด้านการลงทุนเป็นระบบสมาชิกที่มีชื่อว่า Exclusive Membership All in one ซึ่งมี โค้ชพี่เลี้ยง คอยสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างใกล้ชิด (Personal Trainer) มีโปรแกรมการเรียนอย่างเป็นระบบ สอนตั้งแต่พื้นฐานจนนำไปใช้งานได้จริง (SPTR Program) และมีการเทรดและวิเคราะห์ตลาดจากสถานการณ์จริง (Live Trade)ล่าสุด ได้เปิดสาขาใหม่ “สาขาสยามสแควร์” ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนคนรุ่นใหม่ได้สูงสุด โดยตั้งแต่ก่อตั้งจนปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกนักลงทุนที่ผ่านการเรียนกับ SPTR กว่า 3,000 คนแล้ว บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มคอร์สทางด้านการลงทุนให้ครบทุกสินทรพย์การเงิน และเพิ่มจำนวนสมาชิกสาขาใหม่ให้ได้ 5,000 คน ในระยะเวลา 2 ปี