Market

BAY กำไร 7,834 ล้าน ลดลง 46%  เหตุปีก่อนมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นเงินติดล้อ
21 ก.ค. 2565

แบงก์กรุงศรีฯ เปิดงานไตรมาส 2/65 กำไร 7,834 ล้านบาท ลดลง 46% เหตุไตรมาสเดียวกันปีก่อนมีกำไรจากเงินติดล้อ แต่หากตัดออกกำไรโต 18% เหตุจากการตั้งสำรองฯ ลดลง รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น  
  
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2565 มีกำไรสุทธิ 7,833.75 ล้านบาท ลดลง 46.13% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,542.80 ล้านบาท  

 

กำไรที่ลดลง มีปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรพิเศษ จากการขายหุ้นของ บริษัท เงินติดล้อ ในไตรมาส 2/64 ซึ่งหากไม่รวมรายการดังกล่าว ไตรมาส 2 ปีนี้ กำไรจะเพิ่มขึ้น 18.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564


ส่วนผลงานรวม 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 15,252 ล้านบาท ลดลง 27.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 21,048 ล้านบาท 

 

ปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรสุทธิโตขึ้นในครึ่งปีแรก มาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น สะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง รวมถึงรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น ตอกย้ำกลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ จากสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น กอปรกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อรวมโต 3.1% หรือจำนวน 58,344 ล้านบาท จากสิ้นปี 2564 โดยมีสินเชื่อเพื่อธุรกิจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ  ประกอบด้วยสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเติบโตขึ้น 5.0% และ 5.2% ตามลำดับ 

 

นอกจากนี้ การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุกยังส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.36%  จากระดับ 3.08% ในปีก่อน

 

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากการดำเนินงานตามปกติ ลดลงจำนวน 616 ล้านบาท หรือ 3.6%  หากรวมกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นของเงินติดล้อในปีก่อนหน้า รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 11,343 ล้านบาท หรือ 40.8%

 

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 2.11% เมื่อเทียบกับ 2.20% ณ สิ้นปี 2564 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ก็ดีขึ้นอยู่ในระดับสูงที่ 189.2% จาก 184.2% ณ สิ้นปี 2564 จากนโยบายการตั้งสำรองด้วยความรอบคอบระมัดระวังของกรุงศรีที่ยึดถือแนวปฏิบัติการตั้งเงินสำรองรวมในระดับสูง

 

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การเติบโตของเงินให้สินเชื่อรวมในครึ่งปีแรกเป็นไปอย่างทั่วถึงในลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจ โดยได้รับปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่แข็งแกร่งขึ้น แม้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภาพในการดำเนินงานมากขึ้น

 

ทั้งนี้ ท่ามกลางทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังมีความผันผวนและไม่แน่นอน เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยง แม้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยวจะดีขึ้น  แนวโน้มการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ (Monetary Normalization) เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ไตรมาสสามของปีนี้

 

ทั้งนี้ คาดว่าเงินให้สินเชื่อรวมในปี 2565 จะเติบโตได้ตามขอบบนของกรอบเป้าหมายที่ 3-5% ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ 3.1%

 

ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.95 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.82 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.6 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ที่ 292.34 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.59% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 12.82%

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com