บล.กรุงศรี มองเชิงลบ เกณฑ์ใหม่รักษาโควิด กระทบรายได้โรงพยาบาล โดยเฉพาะ BCH-CHG ที่มีสัดส่วนรายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด ทำให้คาดว่าจะรายได้ในไตรมาสที่ 3 หดตัวลงอย่างมาก
บล.กรุงศรี มองผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ที่ยกเลิกระบบรักษาที่บ้าน หรือ Home Isolation (HI) สำหรับผู้ป่วยโควิด ที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และการรักษาในโรงพยาบาลนอกสิทธิ์ ในขณะที่สำนักงานประกันสังคม จะยังคงให้เบิกจ่าย HI ได้ แต่ปรับลดราคาลงจากเดิม 12,000 บาท เหลือเพียง 2,250 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป
ทั้งนี้ รายได้ HI (สปสช.จ่าย 120,000 บาท/เคส (7+3 วัน) จนถึงวันที่ 30 เมย. และ 6,000 บาท/เคส จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.) เป็นรายได้หลักของโรงพยาบาลใน ไตรมาสที่ 2 ซึ่ง BCH และ CHG ได้อานิสงส์จากการเข้ารักษาตามเกณฑ์เดิม เพราะผู้ป่วยจะเลือกใช้บริการมากกว่าโรงพยาบาลรัฐ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการหนัก (ผู้ป่วยสีเหลืองและแดง) จะยังสามารถใช้สิทธิ์ UCEP Plus ซึ่งหมายถึงยังสามารถเข้ารักษาที่โรงพยาบาลใดก็ได้ (ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน) และ สปสช.ยังจ่ายค่าตรวจโควิด (1,100 บาท) ให้ด้วย ทั้งนี้ สปสช. ยกเลิกโครงการ hospitel และการตรวจ RT-PCR test ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา
โดยที่สำนักงานประกันสังคม จะยังคงโครงการ HI แต่ปรับลดราคาลงจากเดิม 12,000 บาท เหลือ 2,250 บาทต่อราย โดยปรับลดค่าอาหาร (2,400 บาท/ราย) และบริการอื่น ๆ ลง ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นของโรงพยาบาลจึงจะลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคม จะยังคงจ่ายค่าบริการ hospitel ให้ 12,000 บาท/ราย แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาการไม่มากจะเลือก HI มากกว่า ซึ่งหมายความว่ารายได้จะลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ hospitel ส่วนใหญ่เริ่มปิดให้บริการแล้ว
เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด เมื่อเทียบกับรายได้รวมในไตรมาส 1 ของ BCH อยู่ที่ 63%, CHG อยู่ที่ 55%, BDMS อยู่ที่ 19% และ BH อยู่ที่ 14% เกณฑ์ใหม่ที่ออกมานี้ จะส่งผลกระทบรายได้และกำไรของ BCH และ CHG มากที่สุด โดยเฉพาะในไตรมาส 3
เรายังคงคำแนะนำถือ BCH ให้ราคาเป้าหมาย 23.60 บาท และ CHG ราคาเป้าหมาย 3.90 บาท เนื่องจากผลประกอบการมีแนวโน้มลดลง จากรายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด ลดลง
ทั้งนี้ บล.กรุงศรี ชอบ BDMS และ BH มากกว่า โดยให้ราคาเป้าหมาย BDMS ที่ 31.00 บาท และ BH ที่ 197.00 บาท เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่สดใสกว่า โดยคาดว่ากำไรจะโต 15% และ 39% ต่อปี จากผู้ป่วยโรคไม่เร่งด่วนทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับมารักษาในพยาบาลมากขึ้น