STEC ถูกยกให้เป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หลังภาครัฐเดินหน้าแผนการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ 36 โครงการ วงเงิน 1.57 ล้านล้านบาท ซึ่งการเปิดประมูลโครงการใหม่ๆ ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ส่วนโบรกเกอร์ ประเมิน STEC มูลค่าที่เหมาะสมไว้เท่าไหร่ไปติดตามในรายละเอียด
STEC หรือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น ถือเป็นหนึ่งในบิ๊กทรี ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศไทย ดำเนินธุรกิจก่อสร้างงานทุกประเภททั้งงานโยธาและ งานเครื่องกล เช่น งานด้านระบบสาธารณูปโภค งานด้านอาคาร งานด้านพลังงาน งานด้านอุตสาหกรรม และงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
จุดแข็งของ STEC คือ มีความเชี่ยวชาญด้านงานก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน และมีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง บริษัทไม่มีหนี้จากสถาบันการเงินและถือเงินสดในมือไว้สูง อัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E ratio) เฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 2.06 เท่า ทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยต่ำ และได้อำนาจในการต่อรองซื้อวัสดุ ลดโอกาสการเกิด cost overrun, ได้credit จาก supplier ที่ดีกว่า
โครงสร้างรายได้ แบ่งตามประเภทงาน มาจากงานก่อสร้างด้านสาธารณูปโภค 71% งานก่อสร้างด้านพลังงาน 14% งานก่อสร้างด้านอาคาร 11% และงานก่อสร้างด้านสิ่งแวดล้อม 2%
ในปี 2564 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ตกต่ำของ STEC เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่มีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง และการชะลอโครงการของภาครัฐ ทำให้ช่วง 9 เดือนของปี 2564 มีกำไรเพียงแค่ 334.98 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆ ที่มีผลกำไรระดับพันล้าน
แต่สำหรับปีนี้ถูกคาดหมายว่ากำไรจะเติบโตสูง จากการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบัน STEC น่าจะได้งานค่อนข้างแน่นอน มูลค่ารวมราว 4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
1) โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ที่ STEC ร่วมกับพันธมิตร คือ ช.การช่าง ชนะประมูล 2 เส้นทาง มูลค่ารวม 43,255.66 ล้านบาท ซึ่งได้เซ็นสัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทยไปแล้วเมื่อปลายเดือนธ.ค.2564 ที่ผ่านมา คือ งานสัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย มูลค่าโครงการ 25,138.84 ล้านบาท และงานสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ มูลค่าโครงการ 18,116.82 ล้านบาท คิดเป็นส่วนของ STEC ได้วงเงินก่อสร้าง 17,369.40 ล้นบาท
2) สนามบินอู่ตะเภา มูลค่าโครงการรวม 2.7 หมื่นล้านบาท คาดมีความชัดเจนในปี 2565
งานในมือของ STEC เตรียมเข้าสู่กรอบแสนล้านบาท
มุมมองของบล.หยวนต้า มองว่าในปี 2564 STEC มีการเซ็นสัญญารับงานใหม่แล้ว 1.6 หมื่นล้านบาท รวมงานที่บริษัทได้มีการเซ็นสัญ ญา โครงการ O&M Motorway 2 เส้นทาง บางใหญ่-กาญจนบุรี และสายบางปะอิน-นครราชสีมา ส่งผลต่องานในมือของ STEC อยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท และในปี 2565 กรณีหลังเซ็นสัญญางานก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ และงานสนามบินอู่ตะเภาวงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท จะทำให้งานในมือของ STEC เพิ่มเป็น 1.14 แสนล้านบาท
รวมทั้ง ในปี 2565 มีงานโครงการภาครัฐที่อยู่ระหว่างการประมูล คืองานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) วงเงินโดยรวม 7.8 แสนล้านบาท ซึ่ง STEC ได้มีการซื้อซองประมูลทุกสัญญา รวมถึงการประมูลในรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) มูลค่าก่อสร้างโดยรวม 1.27 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดง
นอกจากนี้ STEC มีจุดเด่นจากความชำนาญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ประกอบการ เช่น GULF ซึ่งทำให้มีการรับงานร่วมกัน และมีงานที่ได้รับจาก GULF ขณะที่ได้ประโยชน์จากเงินปันผลรับ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการลงทุนใน GULF 1.88% มีจำนวนหุ้นที่ถือครอง 220 ล้านหุ้น
ดังนั้น เราจะเห็นงานในมือคงระดับแสนล้านบาท เช่นเดียวกับปี 2561 อีกครั้ง ทั้งนี้ มองว่าประวัติการรับงานที่ต่อเนื่องในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งจากรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ งานก่อสร้างอาคาร โรงไฟฟ้า หรืองาน Modules Fabrication ของโรงงานปิโตรเคมีรวมถึงงานโรงไฟฟ้า ยังเป็นโอกาสที่ดีต่อการรับงานใหม่ในอนาคตของ STEC
คาดว่าผลประกอบการในปี 2565 จะพลิกฟื้นทั้งจากรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้น คาดกำไรปกติไว้ที่ 1.2 พันล้านบาท เติบโต 51%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ประกอบกับฐานะทางการเงินที่ยังแข็งแรง เป็น Net cash Company โดยให้ราคาเหมาะสมปี 2565 ไว้ที่ 21.50 บาท อ้างอิง PBV ที่ 2.1 เท่า ปัจจุบันบริษัทซื้อขายในระดับราคา PBV เพียง 1.52เท่า ต่ำาสุดจากอดีตในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ บล.กสิกรไทย ก็ยกให้ STEC เป็นหุ้นเด่น ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ให้ราคาเป้าหมาย 21.47 บาท มองว่าภาพรวมปี 2565 การประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะส่งผลบวกต่อกลุ่มก่อสร้าง ทำให้ยอด backlog กลุ่มเติบโตขึ้น
ทำให้มีมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นของ STEC คาดว่าจะเพิ่มงานในมือ หรือ Backlog ไอีก 5 หมื่นล้านบาทในอนาคตอันใกล้ จากโครงการรถไฟรางคู่ และสนามบินอู่ตะเภา นอกเหนือจากยอด Backlog ปัจจุบันที่ 8.3 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ยังคาดว่าในฐานะที่ STEC เป็นผู้รับเหมารายใหญ่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้ มูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันออก มูลค่า 1.27 แสนล้านบาท
ปัจจัยหนุน ที่ยกให้ STEC เป็นหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่ม ประกอบด้วย
1.โอกาสจะถูกเรียกค่าปรับจากโครงการก่อสร้างรัฐสภาที่น้อย
2.การประมูลโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล
3.โอกาสชนะประมูลโครงการก่อสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
4.อัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัว
5.ราคาหุ้นที่ยัง Laggard