รายงานพิเศษ ตอนที่ 3
พูดได้ไม่เต็มปากว่า “บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด” หรือ เคที ผู้ว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ในยุคผู้ว่าฯ ม.ร..ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่เซ็นสัญญาทิ้งทวน จ้างเดินรถในส่วนต่อขยาย เป็นเวลา 30 ปี ไปสิ้นสุด 2 พ.ค. 2585 และในสัญญายังครอบคลุมเส้นทางสัมปทานเดิม ที่จะหมดสัญญาในปี 2572 โดยจ้างเดินรถต่อไปอีก 13 ปี ไปสิ้นสุดสัญญากับพร้อมเส้นทางส่วนต่อขยาย ในปี 2585 มีสถานภาพเป็นรัฐ หรือเอกชนกันแน่
และจ้างเอกชนเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ทั้งส่วนที่ 1 สายสุขุมวิท ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง, สายสีลม ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า และส่วนที่ 2 ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ เป็นการกระทำที่อาจขัดกับ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 จริงหรือไม่
เพราะย้อนดูประวัติความเป็นมาของ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด พบว่า บริษัทฯ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2498 เริ่มก่อตั้งโดยบุคคล 8 คน ทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ใช้ชื่อว่า บริษัท สหสามัคคีค้าสัตว์ จำกัด ดำเนินกิจการด้านการชำแหละเนื้อสัตว์ และบริษัทฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2502
และวันที่ 1 ม.ค.2505 เทศบาลนครกรุงเทพ เข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 44,994 หุ้น จากนั้นวันที่ 21 ธ.ค. 2514 ได้มีประกาศคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 25 ให้รวมเทศบาลนครกรุงเทพ และเทศบาลนครธนบุรี เข้าด้วยกันเป็นเทศบาลนครหลวง และให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ งบประมาณ พนักงานเทศบาล และลูกจ้างของเทศบาลนครกรุงเทพ และเทศบาลนครธนบุรี เป็นของเทศบาลนครหลวง ดังนั้นหุ้นของบริษัทฯ ที่เป็นทรัพย์สินเทศบาลนครกรุงเทพ จึงโอนมาเป็นของเทศบาลนครหลวง
ต่อมาวันที่ 13 ธ.ค. 2515 มีประกาศคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 335 ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ งบประมาณของเทศบาลนครหลวงกรุงเทพธนบุรี องค์การบริหารนครหลวงกรุงเทพธนบุรี เทศบาลนครหลวง สุขาภิบาลต่างๆ ในเขตนครหลวงกรุงเทพธนบุรีไปเป็นของ กทม. ทำให้หุ้นของบริษัทฯ ที่เป็นทรัพย์สินเทศบาลนครกรุงเทพ จึงโอนเป็นของ กทม.
กระทั่งเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2537 บริษัท สหสามัคคีค้าสัตว์ จำกัด ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยเป็นวิสาหกิจของ กทม. ซึ่งดำเนินกิจการให้บริการ และจัดการงานสาธารณูปโภคพื้นฐานในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ อยู่จนถึงทุกวันนี้ มี กทม. เป็นผู้ถือหุ้น 99.96% และมีผู้บริหารของ กทม. เป็นกรรมการของบริษัท ปัจจุบันตั้งอยู่ เลขที่ 2 ซอยรามคำแหง 40 แยก 2 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
การดำเนินการของ กทม. ดังว่านี้ มีข้อชวนให้เคลือบแคลงสงสัยหลายประการ เพราะมีการกล่าวอ้างกันว่า หลังจากเปลี่ยนธุรกิจจาก โรงฆ่าสัตว์ มาเป็น กรุงเทพธนาคม มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 2 แสนล้านบาท เป็นองค์กรที่ใหญ่ไม่ธรรมดา แต่น่าแปลกใจทำไมกำไรช่างน้อยนิด ปี 2564 กำไรแค่ 63 ล้าน และงบล่าสุดปี 2565 ขาดทุน 4.6 ล้านบาท เทียบกำไรต่อสินทรัพย์ ห่างกันราวฟ้ากับเหว
กิจการของ เคที ดูแล้วส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ “ร่วม” กับ กทม.ทั้ง “ล้อ ราง เรือ” ประกอบด้วยโครงการรถโดยสารด่วนพิเศษ BRT เรือคลองภาษีเจริญ แถมยังมีงานด้านศึกษาและวิจัย ด้านสิ่งแวดล้อม เก็บขนและกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ และรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว
KT เป็นวิสาหกิจของ กทม.ที่ถือหุ้น 99.8 % ซึ่งสามารถนำรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปบริหารได้ แต่วันที่บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ไปเจรจากับเอกชน ถ้าเป็นรัฐก็ต้องใช้ระเบียบพัสดุ แต่นี่ไม่ใช่ วันไปเจรจากับเอกชนบอกว่าตัวเองเป็นบริษัท จำกัด
คนจึงเคลือบแคลงว่าสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. ขยายสัญญาไปอีก 13 ปี ในวงเงิน 190,000 ล้านบาทให้กับบริษัทเอกชน โดย กรุงเทพมหานคร ไปจ้างบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) วิสาหกิจของกรุงเทพมหานคร ให้ไปจ้างบริษัทเอกชนต่ออีกทอด ในการต่อสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้ากับ BTSC ซึ่งอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ว่าด้วยพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
และเป็นการหลีกเลี่ยงพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 อันมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหรือพนักงานของรัฐ อาจมีส่วนรู้เห็น เช่น ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.กับพวก ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือไม่?
และนายประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการ บริษัท BTSC ในขณะนั้น และนายอมร กิจเชวงกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ในขณะนั้น กับพวก ซึ่งเป็นบริษัทที่ กทม. ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ในฐานะเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีอาจรู้เห็นเป็นใจ ในการเซ็นสัญญาว่าจ้างเอกชนล่วงหน้า 13 ปีก่อนการสิ้นสุดสัญญา อันเป็นการเอื้อประโยชน์กับเอกชนดังกล่าว หรือไม่ ?
ทำให้ถูกมองว่า การกระทำลักษณะนี้ขัดหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ เมื่อหน่วยงานรัฐ “ชงเอง กินเอง”
กทม. ไม่ควรให้ “เคที” จ้าง “บีทีเอส” เดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 เพิ่ม และไม่ควรเร่งรัดต่ออายุสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และสายสีลม ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ระหว่างกทม. และบีทีเอส ออกไปอีก 30 ปี จนเป็นประเด็นหลักที่สำคัญที่มีการร้องไปยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และเรื่องคาราคาซังในป.ป.ช.นานหลายปี
กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพิ่งจะมีมติมีมติแจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อดีตผู้ว่า กทม.และพวกรวม 13 คน ทุจริตรถไฟ้าสายสีเขียว ซึ่งหนึ่งในนั้นปรากฏชื่อ "นายคีรี กาญจนพาสน์" กรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมถึงบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ข้อหาทุจริตในการทำสัญญาการให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเอื้อประโยชน์ให้แก่ BTSC เพียงรายเดียว
อ่านย้อนหลัง
เปิดปฐมบท มรดกบาป รถไฟฟ้าสาย `สีเขียว` ก่อนป.ป.ช.แจ้งข้อหาทุจริต`ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์-คีรี`
จับพิรุธ `กทม.` จ้าง `บีทีเอส` เดินรถไฟฟ้าสีเขียวต่อขยาย