Market

กรุงศรี ไตรมาสแรก กำไรสุทธิ7.53 พันล้านเป็นผลจากบริหารต้นทุนการเงิน - สินเชื่อรายใหญ่โตแรง-รายได้ค่าฟีเพิ่ม หนี้เสียสูง 3.29%
18 เม.ย 2568

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) รายงานไตรมาสแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 7,533 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เติบโต 20.0% จากไตรมาสที่สี่/ 2567  อานิสงส์บริหารต้นทุนทางการเงิน-สินเชื่อรายใหญ่เติบโตแข็งแกร่ง 4.7% เผย NIM อยู่ที่ 4.1% รายได้ค่าฟีโตกว่า 5% หนี้เสีย 3.29%

 

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับไตรมาสแรกของปี 2568 กรุงศรีทำกำไรสุทธิ จำนวน 7,533 ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 20.0% หรือจำนวน 1,257 ล้านบาท จากไตรมาสที่สี่ของปี 2567 โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากยุทธศาสตร์ของกรุงศรีในปี 2568 ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงนโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ กำไรสุทธิทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) 

 

ทั้งนี้ ไตรมาสแรก เงินให้สินเชื่อรวมทรงตัวจากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 ท่ามกลางความท้าทายและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น แต่จากการดำเนินงานเชิงรุกที่มุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย  ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 4.7% หรือจำนวน 30,904 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งสินเชื่อเพื่อรายย่อยปรับตัวลดลง 2.4% และ 2.5% ตามลำดับ

 

ส่วนเงินรับฝาก เพิ่มขึ้นที่ 0.9% หรือจำนวน 16,753 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 จากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนเงินรับฝากที่มีต้นทุนต่ำ ประกอบด้วยเงินรับฝากประจำที่มีอายุน้อยกว่าหกเดือนและเงินรับฝากออมทรัพย์ สุทธิด้วยการลดลงของเงินรับฝากประจำที่ต้นทุนสูงกว่าและระยะเวลานานกว่า สะท้อนการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนทางการเงินเชิงรุกและรอบคอบระมัดระวัง

 

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.1% เพิ่มขึ้น 7 เบสิสพอยท์จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากต้นทุนเงินรับฝากที่ลดลง สะท้อนการบริหารต้นทุนทางการเงินเชิงรุก ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างและระยะเวลาของเงินรับฝากอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 5.4% หรือ 607 ล้านบาท จากไตรมาสแรกของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สูญรับคืน กําไรจากทรัพย์สินรอการขายและเงินปันผล

 

ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับตัวดีขึ้นที่ 45.7% เทียบกับ 46.5% ในไตรมาสก่อนหน้า จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินงานของธนาคาร

 

สำหรับอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ที่ 3.29% ขณะที่อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 211 เบสิสพอยท์ ในไตรมาสแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับ 234 เบสิสพอยท์ ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับ 124.5% ส่วนอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 19.14% เทียบกับ 19.38% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567

 

“แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะในภาคการผลิต รวมถึงปัญหาการทะลัก (Flooding) ของสินค้าจีนมายังไทย  ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี”

 

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.90 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.84 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.63 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 317.50 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 19.14% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 14.91%

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com