Market

BKI  กางแผนพลิกฟื้นธุรกิจ ปี 66 เบี้ยโต 12.5% แตะ 3 หมื่นลบ. กำไรกลับมาเท่าระดับปี 62 แย้มหุ้นที่จ้องซื้อตุนพอร์ต
27 มี.ค. 2566

กรุงเทพประกันภัยเปิดแผนพลิกฟื้นธุรกิจ และพอร์ตลงทุน ทะยานโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่งทุกมิติ ปี 66 ตั้งเป้าเบี้ยฯ 3 หมื่นล้านบาท โต 12.5 % มั่นใจปีนี้กำไรกลับมาสู่ระดับข่วงก่อนโควิด ชูผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง กลางปีส่งประกัน 2+ Super Special พร้อมทุ่ม 700 ลบ.

 

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี2565 เเม้จะสามารถขยายงานด้านเบี้ยประกันภัยรับรวมได้เกินเป้าหมาย โดยเติบโต8.8%จากปี 2564  หรือคิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 26,676.3 ล้านบาท และมีรายได้สุทธิจากการลงทุน 6,254.6 ล้านบาท โดยเเต่เนื่องด้วยภาระผูกพันในการจ่ายเคลมสินไหมทดเเทนประกันภัยโควิด-19 ที่สิ้นสุดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 ส่งผลทำให้บริษัทฯ ยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 638.4 ล้านบาท

 

“ปีที่แล้ว เบี้ยรวมทำได้โตเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5% ซึ่งพอร์ตมอเตอร์(ประกันรถ) โตถึง18% ส่วนนอนมอเตอร์ ได้รับผลกระทบจากประกันโควิด เจอ จ่าย จบ ที่มียอดเคลมสูง 8,700 ล้านบาท ทำให้อัตรา Lost Ratio รวมพุ่งกว่าหลักร้อยเปอร์เซ็นต์  แม้เราจะทำกำไรจากเงินลงทุนมาได้สูง แต่สุทธิแล้วก็ยังขาดทุนอยู่   อย่างไรก็ตามเราก็ยังมีเงินกำไรสะสมจึงนำมาจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอัตราหุ้นละ 15.50 บาท สูงกว่าผลดำเนินงาน ปี 2564 ที่จ่ายปันผลหุ้นละ 15 บาท” ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว

 

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท รวมทั้งปี 15.50 บาท บนพื้นฐานของการมีความมั่นคงทางการเงิน เเละมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยมีอัตราส่วนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 179.4 (ณ 30 ก.ย. 65) พร้อมยืนหยัดความแข็งแกร่งด้วยการรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือCredit Rating A- (Stable) (ณ พ.ย. 65) โดย Standard & Poor's (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก

 

สำหรับเเนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2566 ของกรุงเทพประกันภัย ดร. อภิสิทธิ์กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะยังมีความเปราะบาง แต่ก็ได้ผ่านพ้นแรงกระแทกใหญ่ๆ ไปแล้ว จึงกลายเป็นความท้าทายที่มาพร้อมกับโอกาส เปรียบเสมือนช่วงเวลาแห่งการพลิกฟื้นประสิทธิภาพสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปีนี้ถือเป็น Year of Resilience ที่องค์กรจะสะท้อนกลับไปสู่เป้าหมายที่ไกลกว่า บริษัทฯ พร้อมที่จะกลับไปสู่จุดที่แข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งกว่าเดิม ในปี 2566 นี้ กรุงเทพประกันภัยตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโต 12.5 % แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประมาณ 13,096 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือNon-Motor ประมาณ 16,904 ล้านบาท ภายใต้การประเมินอัตรา Loss Ratio รวมอยู่ที่ระดับ 52-53% 

 

“ปีนี้ เบี้ยรวมโต 30,000 ล้ายบาท เราคาดหวังจะทำกำไรจากการรับประกันภัยโตได้น้อยกว่า 8% ถ้าทำได้ดีมากๆด็จะมีกำไรไม่ต่ำกส่า 12% แต่ไทยด็ยังมีความเปราะบางจากการมองไม่ออกเช่นเรื่องภัยธรรมชาติ ความเสี่ยงอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เป็นต้น” 

 

นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บมจ. กรุงเทพประกันภัย กล่าวถึง สำหรับด้านการรบริหารพอร์ตลงทุนของบริษัทในปี 2566  ว่าในปีที่แล้ว การบริหารพอร์ตลงทุนเพื่อหารายได้ชดเชยผลขาดทุนจากการเคลมประกันโควิด ทำได้ค่อนข้างสูงราว 16% จากปกติแต่ละปีจะอยู่ที่ 4-5% โดยพอร์ตกรุงเทพประกันภัยได้ทำการขายหุ้นในพอร์ตที่มีกำไรสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นในเครือธนาคารกรุงเทพ อาทิ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ธนาคารกรุงเทพ กรุงเทพประกันชีวิต ซึ่งตัวไหนที่ราคาลดลงก็จะซื้อกลับมาถือลงทุนในพอร์ตใหม่ ส่วนของพอร์ตหุ้นได้กำไรราว 5,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากเงินปันผลและผลตอบแทนจากดอกเบี้ยของพันธบัตร หุ้นกู้และเงินฝาก

 

“ทิศทางการบริหารพอร์ตลงทุนหุ้น ปีนี้ยังมองหุ้นกลุ่มแบงก์ผลดำเนินงานจะออกมาดีจากการขึ้นดอกเบี้ย ที่ผ่านมาได้ซื้อหุ้น SCB แล้ว BBLซื้อกลับมา อีกกลุ่มที่มองเป็นบริษัทขนาดกลาง อย่าง AH  STANLY ธุรกิจเกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์ ยังเติบโตดี เรามองว่าปี 2566 จะดีขึ้น จึงจ่ายเงินปันผลสูงให้ผู้ถือหุ้น เรากำลังดูว่าจะซื้อหุ้นคืนมาบ้างจากความไม่แน่นอนของตชาดยังมีมาก ดอกเบี้ยในสหรัฐยังขึ้นไปอีก” นายชัยกล่าว

 

ทั้งนี้ พอร์ตของกรุงเทพประกันภัย สัดส่วนหลักเป็นลงทุนหุ้น เมื่อบันทึกตามมูลค่าตลาดจะมีสัดส่วน 60%ของพอร์ตรวม เงินฝากประจำ 18% พันธบัตร 8% หุ้นนอกตลาด 8% ที่เหลือลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ

 

ดร.อภิสิทธื์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ กำไรของบริษัทน่าจะกลับมาระดับเดียวกัยปี2562ช่วงก่อนโควิด โดยกำไรส่วนใหญ่จะมาจากการรับประกัยภัย ซึ่งถือเป็นเป้าหมายทางธุรกิจ ส่วนรายได้จากพอร์ตลงทุนเป็นองค์ประกอบ โดยที่ผ่านมา กำไรจากผลประกอบการมีสัดส่วน 60% และกำไรจากลงทุนสัดส่วน 40% ซึ่งธุรกิจประกัน ต้องมีกำไรจากการรับประกันภัยที่ดีกว่าการลงทุน พร้อมกันนี้ ปีนี้ยังเน้นความสำคัญเรื่องการลงทุนพัฒนาด้านเทคโนโลโลยียกระดับบริการดิจิทัล โดยจัดงบประมาณไว้ถึง 700 ล้านบาท

 

สำหรับกลยุทธ์ของธุรกิจประกันในปีนี้ จะมีความแตกต่างและความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น กลยุทธแรก พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ “ให้มากกว่า” เเละความคุ้มครอง “พิเศษมากขึ้น” คือ ขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า การออกผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบ นำโดย แผนประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ให้ความคุ้มครองที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น และคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสมกับสภาวะค่าครองชีพสำหรับผู้บริโภครัดเข็มขัด ควบคุมค่าใช้จ่าย โดย ล่าสุดความพิเศษที่มากขึ้นด้วยการบวกเพิ่มความคุ้มครองความเสียหายจากการพลิกคว่ำหรือตกข้างทาง และพิเศษยิ่งขึ้นกับความคุ้มครองความเสียหายต่อกระจกบังลมรถยนต์ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุอื่นๆที่นอกเหนือจากการชน เช่น หินกระเด็นใส่ กิ่งไม้หล่นใส่ หรือกระทบกับวัตถุต่างๆ เป็นต้น

 

“ประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ของกรุงเทพประกันภัยถือเป็นเจ้าเเรกในตลาดประกันวินาศภัยไทยที่เพิ่มความคุ้มครองความเสียหายต่อกระจกบังลมรถยนต์ โดยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 7,300 บาท”

 

ส่วนแผนประกันภัยรถยนต์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ซ่อมห้างสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มีจำนวนผู้ทำประกันภัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความไว้วางใจในความมั่นคง คุณภาพการบริการ การดูแลเอาใจใส่และอู่ซ่อมที่มีมาตรฐาน และความคุ้มครองแบบครบวงจรและครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าถึง33 รุ่นจาก 20 แบรนด์ชั้นนำ ซึ่งการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของบริษัทฯ นั้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมียอดสะสม (งานใหม่รวมต่ออายุ) ราว 2,000 คัน คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรวมมากกว่า 100 ล้านบาท (ณ มี.ค. 66) และคาดว่าทั้งปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรวมไม่ต่ำกว่า 120-140 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาความคุ้มครองใหม่ๆ พร้อมเพิ่มจำนวนรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่รับประกันภัยอย่างต่อเนื่องตามความต้องการและรูปแบบความเสี่ยงภัย โดยได้เตรียมความพร้อมด้านบริการต่างๆ  ทั้งด้านสินไหมทดแทนยานยนต์ การสนับสนุนข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าแก่ฝ่ายรับประกันภัย รวมถึงการอบรมอู่ในเครือเพื่อเพิ่มศักยภาพการซ่อมรถ EVด้วย ทั้งนี้ ปีนี้คาดมีรถ EV ใหม่ทั้งระบบ 40,000 คันจากสิ้นปี 2565 มีจำนวน 13,000 คัน

 

ดร. อภิสิทธิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีแผนประกันภัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ จึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคและสอดคล้องกับความเสี่ยงในการทำกิจกรรมต่างๆ ในรูปแบบ Personalized Insurance ที่มีความเฉพาะเจาะจง โดยก่อนหน้านี้ มีแผนประกันภัย 3 โรคกวนใจ คุ้มครองการเจ็บป่วยจากโรคไข้หวัดใหญ่ โรคมือ เท้า ปาก และโรคร้ายจากยุง ตามด้วยแผนประกันภัยไซเบอร์ และประกันภัยออฟฟิศซินโดรมที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ล่าสุดเตรียมเสนอเเผนประกันภัยสุขภาพ + จิตเวช  ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลหรือค่าตรวจรักษาอาการของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจ หรือพฤติกรรมหรือความผิดปกติทางบุคลิกภาพ ทั้งกรณีที่เป็นผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอขายได้ในช่วงกลางปีนี้

 

“ท่ามกลางสภาวะทางสังคมที่ไม่แน่นอน เปราะบางเเละมีเเรงกดดันมากขึ้น จากข้อมูลของศูนย์โรคซึมเศร้าไทย กรมสุขภาพจิต ปี 2564 ระบุว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน โดยผู้ป่วยจำนวน 100 คน สามารถเข้าถึงการรักษาเพียง 28 คนเท่านั้น บริษัทฯ จึงมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจของคนในสังคมผ่านการเพิ่มความคุ้มครองด้านจิตเวชเข้ามาในเเผนประกันภัยสุขภาพเดิม”

 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนประกันภัยนักดำน้ำ ที่จะสร้างความอุ่นใจให้กับกลุ่มนักดำน้ำทั้งผู้ที่เป็นมืออาชีพและมือสมัครเล่นในไทย ซึ่งความคุ้มครองรองรับความเสี่ยงต่างๆของนักดำน้ำ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การเคลื่อนย้ายเพื่อรักษาพยาบาลฉุกเฉินเงินชดเชยต่างๆ เช่น อุปกรณ์ดำน้ำเสียหาย การยกเลิกโปรเเกรมท่องเที่ยวดำน้ำ โดยมีให้เลือกทั้งเเบบรายทริป (ตามจำนวนวันที่เดินทาง) เเละรายปี (สูงสุด 30 วันต่อการเดินทางในเเต่ละครั้ง)

 

กลยุทธที่สอง การเพิ่มศักยภาพการบริการ “รวดเร็วเเละประทับใจมากยิ่งขึ้น”ที่ตอบโจทย์ด้านความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ทุกที่ ทุกเวลาให้แก่ลูกค้าและคู่ค้า ได้แก่ ยกระดังอู่ชวนซ่อมในสัญญาที่มีมากกว่า 580 แห่ง ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยอู่ชวนซ่อมที่ได้รับคะแนนในระดับสูงนั้นมาจากการประเมินความพึงพอใจหลังการซ่อมจากลูกค้าตามเกณฑ์การประเมินต่างๆ ใน 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ คุณภาพการซ่อม, การให้บริการที่ดี, การส่งมอบรถตรงเวลา, ความสะอาดหลังซ่อม และการจัดเตรียมสถานที่ห้องรับรองที่สะอาดและสะดวกสบาย ซึ่งอู่ชวนซ่อมได้มอบบริการพิเศษ เช่น มีบริการนัดหมาย, ทำความสะอาดภายนอกและภายใน รวมถึงบริการขัดสีให้หลังซ่อมเสร็จ เป็นต้น การปรับลดระยะเวลาการจ่ายค่าซ่อมอู่ในสัญญาภายใน 3 วันทำการ จากเดิม 5 วันทำการส่งผลให้ลูกค้าได้รับความสะดวกรวดเร็วในการนำรถเข้าซ่อม ซึ่งถือว่ารวดเร็วอย่างมาก เมื่อเทียบกับระยะเวลาการจ่ายโดยเฉลี่ยในตลาดประกันภัยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15-30 วันทำการ

 

กลยุทที่สาม การมุ่งยกระดับด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อยอดการเป็น Data-Driven Organization ด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และพัฒนาการบริการประกันภัยที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลอย่างไร้ขีดจำกัด โดยได้เตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีรวมถึงสตาร์ทอัปเพื่อยกระดับบริการลูกค้าครบวงจร

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com