หุ้นไทยไม่กลัวโอไมครอนเชื่อมั่นกระทรวงสาธารณสุขรับมือได้ โดยยังบวกต่อได้แม้กระทรวงสาธารณสุขประกาศยืนยันพบผู้ติดเชื้อเดินทางเข้าประเทศหนึ่งคน
ส่วนผลกระทบดอกเบี้ยขาขึ้น และการลด QE ในปีหน้า ตลาดรับรู้มาระยะหนึ่งแล้ว และน่าจะได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับสูง ทั้งภาครัฐและเอกชน มีฐานะดี หนี้ต่ำ และหากสามารถดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาได้ถึง10 ล้านคนในปีหน้า คาดว่าดัชนีอาจแตะ 1,800 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธาน FETCO กล่าวว่า ปัจจุบันโควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ใหม่อย่าง Omicron ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป จนกว่าจะมีวัคซีนป้องกัน ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน
FETCO ได้ประเมินผลกระทบจากธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับลดวงเงินสภาพคล่องในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง รวมทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น เนื่องจากความกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยคาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยไม่มาก
นายไพบูลย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ เพราะไทยเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับสูง และมีหนี้ต่างประเทศน้อยทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งแม้ว่าในอนาคตค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น แต่ไม่กระทบต่อเงืนบาทให้อ่อนค่าได้มากนัก ดังนั้นค่าเงินบาทอาจจะผ่านจุดต่ำสุดของการอ่อนค่าไปแล้วก็ได้ จากข่าวต่างๆที่เข้ามากระทบก่อนหน้านี้
ในอดีตเมื่ออัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อหนี้ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลง แต่ปัจจุบันรัฐบาลไทยและภาคเอกชนมีหนี้ต่างประเทศน้อยลง ผลกระทบจากการอ่อนค่าเงินบาทจะจำกัด ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่ทั่วไป จะมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศค่อนข้างน้อย และมีหนี้ในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มาก เมื่อดอลล่าร์แข็งค่าจะเกิดผลดระทบค่อนข้างมาก
“หากประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ในวงจำกัด จะเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุน ธุรกิจที่เคยได้รับผลกระทบมาก เช่น ภาคการท่องเที่ยว ธนาคาร อุปโภคบริโภค และโทรคมนาคม จะฟื้นตัวกลับมาในปีหน้า
นายไพบูลย์ กล่าวว่าหากประเทศไทยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 10 ล้านคนในปีหน้า คาดว่าดัชนีตลาดฯ (SET Index) ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 จุด แต่ปัจจุบันตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูงจากโควิดสายพันธุ์ใหม่ Omicron จึงแนะนำลงทุนในหุ้นที่เสี่ยงน้อยต่อผลกระทบจากการระบาดของโควิด เช่น หุ้นกลุ่มสุขภาพ หรือโรงพยาบาล และหุ้นที่มีรายได้มั่นคงสม่ำเสมอ เช่นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้นักวิเคราะห์มองว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยจะเติบโตต่อเนื่อง 10-15% ในปีหน้า เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเริ่มคลี่คลาย
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (7 ธ.ค.) เปิดปรับตัวเพิ่มในช่วงเปิดตลาดราว 10 จุด แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขประกาศยืนยันพบผู้ติดเชื้อ Omicron จากชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย แต่ตลาดยังคงมีแรงซื้อและยืนในแดนบวกได้ เนื่องจากความกังวลคลี่คลายลง หลังได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญว่า อาจสามารถใช้วัคซีนที่มีอยู่โดยการฉีดบูสเตอร์โดส หรือ สามารถดัดแปลงตัวยาบางชนิดจากวัคซีนเดิมเพื่อปรับใช้กับ Omicton ได้ โดยไม่ต้องคิดค้นวัคซีนใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้การป้องกันการแพร่ระบาดทำได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยจาก Omicron มีอาการไม่รุนแรง ทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้ในระยะสั้นโดยไม่ต้องกังวลมากนัก
นายไพบูลย์กล่าวว่าดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุน (ICI) ในเดือนพฤศจิกายนซึ่งคาดการณ์สภาวะตลาดในช่วง 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 135.16 ลดลง 19.9% จากเดือนก่อนและกลับเข้าสู่โซน "ขาขึ้น" โดยที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ รวมทั้งการกระจายวัคซีนได้ทั่วถึงมากขึ้น ทำให้การระบาดโควิด-19 ลดลงรวมทั้งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ยังต้องติดตามและอาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน เช่น การเกิดขึ้น Omicron, ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเงินทุนไหลออก นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนที่สุดใน 3 เดือนข้างหน้าคือโทรคมนาคม ส่วนหุ้นที่น่าสนใจน้อยที่สุดคือธุรกิจแฟชั่น
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนธันวาคม 2564 ว่า ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 และ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 4 ปรับตัวลดลงจากครั้งก่อนแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” จากระดับ 1.20% และ 1.95 ตามลำดับ ณ วันที่ทำการสำรวจ (19 พฤศจิกายน 2564) โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานในตลาดตราสารหนี้ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก รวมถึง Fund flow จากต่างชาติ
และคาดว่าดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนธันวาคมนี้อยู่ที่ระดับ 50 ไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งที่แล้ว สะท้อนมุมมองของตลาดที่คาดว่าการประชุม กนง. ในเดือนธันวาคมนี้ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.5
เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงหลายด้าน รวมทั้งเศรษฐกิจยังไม่กลับมาโตในระดับเดียวกับในช่วงก่อนโควิด นอกจากนี้ยังไม่มีปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงเหมือนต่างประเทศ จึงไม่มีความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามต้องติดตามความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน”
#clubhoon #Fetco #สภาธุรกิจตลาดทุนไทย #TBMA
#ตลาดตราสารหนี้ #Omicron #โอไมครอน #หุ้นReopening
--------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1