บมจ.เบทาโกร เคาะราคาขาย IPO จำนวนไม่เกิน 434.8 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 40 บาท เปิดจอง 10-25 ต.ค.นี้ นักลงทุนสถาบัน 25 ราย แห่จองรวมกัน 182.14 ล้านหุ้น

สำนักงานก.ล.ต. ได้รายงาน ร่างหนังสือชี้ชวนของ บมจ.เบทาโกร ซึ่งจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 434.8 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท กำหนดราคาเสนอขายหุ้นละ 40 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และ บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

กำหนดเปิดจองให้ซื้อ 2 ช่วง คือ ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัทฯ และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ และบริษัทย่อย วันที่ 10-17 ต.ค. ส่วนผู้ลงทุนสถาบันผู้ลงทุนวันที่ 20-25 ต.ค.

สำหรับการกำหนดราคา IPO ที่ 40 บาทต่อหุ้น พิจารณาจากกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ( 1 ก.ค.64-30 มิ.ย.65) เท่ากับ 3,650.1 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้ว 1,934.8 ล้านหุ้น ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 1.89 บาทต่อหุ้น และ P/E ประมาณ 21.2 เท่า แต่หากภายหลังจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้มีจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้ว 2,000,000,000 หุ้น (มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 1.83 บาทต่อหุ้น และ P/E ประมาณ 21.9 เท่า

บริษัทได้เปรียบเทียบอัตราส่วน P/E ของบริษัทเทียบเคียงที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 3 บริษัท ที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร อยู่ที่ 25 เท่า, บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป 32.8 เท่า และ บมจ.จีเอฟพีที 27.3 เท่า

ในแบบไฟลิ่ง ระบุว่า มีนักลงทุนที่เป็นสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ 25 ราย จองซื้อหุ้น IPO จำนวน 182.14 ล้านหุ้น แบ่งเป็นผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 12 ราย ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวน 102.02 ล้านหุ้น และผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ  13 ราย รวมจำนวน 80.11 ล้านหุ้น โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่ได้รับการจัดสรรมากสุด คือ บลจ.กรุงศรี จำนวน 22 ล้านหุ้น ส่วนผู้ลงทุนต่างประเทศ ที่ได้รับการจัดสรรมากสุดคือ Ghisallo Master Fund LP ได้รับการจัดสรร 9.48 ล้านหุ้น

สำหรับวัตถุประสงค์ที่จะใช้เงินจากการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 17,392 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อและ/หรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ 8,000 ล้านบาท, ชำระหนี้ระยะสั้นและ/หรือระยะยาว 8,960-10,500 ล้านบาท ที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียน