Market

ส่องหุ้นกลุ่มอาหารยามหมูแพง ควรกินอะไรแทน-แล้วหุ้นตัวไหนจะได้ประโยชน์
7 ม.ค. 2565

ส่องหุ้นกลุ่มอาหารในยามหมูแพง คนจะหันไปอะไรแทน กินไก่ดีไหม แล้วหุ้นตัวไหนจะได้ประโยชน์ มาดูบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์กัน

 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองอุตสาหกรรมอาหาร ในยามที่ราคาหมูแพง ไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า ราคาหมูเฉลี่ยหน้าฟาร์มทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 100-115 บาท/กก. และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้ คาดว่า ราคาหมูในประเทศจะทรงตัวสูงตลอดไตรมาส 1 ปี 65 จากผลของเทศกาลตรุษจีน(31 ม.ค.-1 ก.พ.65) และจะปรับตัวลงหลังจากนั้น แต่คาดว่าจะยังทรงตัวสูงกว่า 80 บาท/กก. เนื่องจาก Supply ใหม่ของหมูต้องใช้เวลา 12 เดือน จึงมีผลผลิตและต้นทุนการเลี้ยงที่ยังสูงไม่จูงใจให้รายย่อยเลี้ยงเพิ่มมากนัก

 

ส่วนอะไรที่ทำให้หมูแพง โดยมีสาเหตุจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  1. ต้นทุนการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้น จากราคากากถั่วเหลืองปี 2564 อยู่ที่ราว 19.2 บาท/กก. เพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อนหน้า ส่วนราคาข้าวโพดอยู่ที่ 9.9 บาท/กก. เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้า โดยพบการเพิ่มขึ้นเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4
  2. ต้นทุนในการป้องกันการเกิดโรคระบาดตามมาตรฐานของกรมปศุสัตว์ทำให้หมูมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 400-500 บาท/ตัว ซึ่งทั้งต้นทุนการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการป้องกันโรคระบาด ทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องแบกรับต้นทุนการเลี้ยงราว 100 บาท/กก.
  3. สถานการณ์โรคในสุกร เช่น PRRS PED ทำให้จำนวนแม่พันธุ์เสียหาย 40% จาก 1.1 ล้านตัว เหลือเพียง 6.6 แสนตัว เป็นการขาดแคลนตั้งแต่ต้นน้ำของสายการผลิตหมู อีกทั้งเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดเร่งขายหมูในราคาต่ำกว่าทุน เพื่อลดผลขาดทุน ทำให้ปริมาณหมูพร้อมขาย หรือพร้อมเป็นแม่พันธุ์ลดลงอีก
  4. เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ราคาลดลงในช่วงล็อคดาวน์ขาดทุนซ้ำซาก ทำให้ต้องพิจารณามากขึ้นหากจะการกลับมาเลี้ยงใหม่ แม้ว่า ราคาตลาดจะสูงขึ้นมาก แต่การผลิตต้องใช้เวลา 10-12 เดือน และราคาลูกหมูปรับสูงขึ้นตามจำนวนแม่พันธุ์ที่ลดลง
  5. แม้จะมีการคลายล็อคดาวน์ให้สามารถรับประทานอาหารนอกบ้านได้ ทำให้การบริโภคฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สวนทางกับปริมาณหมูที่ลดลงไปอย่างรวดเร็วตลอดปี 2564 จากระดับ 20 ล้านตัว/ปี เหลือเพียง 15 ล้านตัว/ปี ทำให้ราคาหมูสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

รัฐบาลออกมาตรการเพิ่ม Supply หมู

  1. มาตรการเร่งด่วน ได้แก่
  • การห้ามส่งออกหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน (6 ม.ค.-5 เม.ย.65) เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อหมูในประเทศ และจะมีการพิจารณาตามสถานการณ์ว่า ควรจะมีการต่ออายุหรือไม่ โดยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ในปี 2564 มีการเลี้ยงหมูเข้าสู่ตลาด 19 ล้านตัว บริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว ส่งออกไปต่างประเทศ 1 ล้านตัว
  •  
  • การช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น งดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียม หรือภาษี การจัดสินเชื่อพิเศษของ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรสามารถปฏิบัติได้ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่อโรคต่ำ การตรึงราคาจำหน่ายที่เหมาะสม และสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น
  •  
  • การเร่งสำรวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตหมู เพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตแม่หมูทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้หมูขุนตัวเมียมาใช้ทำพันธุ์ชั่วคราว เร่งรัดเจรจาฟาร์มรายได้ในการกระจายพันธุ์และลูกหมูขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่ กำหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค
  1.  
  2. มาตรการระยะสั้น ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ การขยายกำลังการผลิตแม่หมู สนับสนุนศูนย์วิจัยและบำรุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน เร่งเดินหน้าการศึกษาวิจัยยา และสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด
  3. มาตรการระยะยาว กระทรวงเกษตรฯ จะผลักดันการยกระดับมาตรฐานของฟาร์มเพื่อป้องกันโรคระบาด ส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม(GFM) มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงหมูใหม่และเพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ทั้งยังมีการสนับสนุนการเลี้ยง โดยจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจาก ธ.ก.ส. ในโครงการสานฝันสร้างอาชีพ ซึ่งกรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างเร่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยเพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ง่าย และสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งการรวมกลุ่ม สนับสนุน และหาตลาดในราคาที่เกษตรกรอยู่ได้อย่างดี

 

ทั้งนี้ บล.หยวนต้า มองว่า การแก้ปัญหาโดยการห้ามการส่งออกเป็นเวลา 3 เดือน อาจช่วยได้บ้าง แต่เชื่อว่า จะไม่มาก เพราะไทยไม่ได้ส่งออกหมูมากนัก มีการส่งออกตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น และเชื่อว่าราคาในประเทศสูงกว่าต่างประเทศ ไม่ได้จูงใจให้ผู้ผลิตส่งออกหมูเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว เพราะจำหน่ายในประเทศได้ราคาดีกว่า

 

ราคาไก่และเป็ดปรับขึ้นตาม ร้านอาหารได้รับผลกระทบ แต่ดีกว่ามีล็อคดาวน์

 

เมื่อหมูมีราคาแพง ผู้บริโภคต้องหันไปซื้อสินค้าใน Modern trade แทน ขณะที่ราคาไก่และเป็ดปรับตัวขึ้น โดยราคไก่หน้าฟาร์มปรับขึ้นที่ 40 บาท/กก. นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ มิ.ย.2560 จากการคลายล็อคดาวน์ นอกจากนี้ ยังส่งผลถึงราคาเป็ดที่ราคามักไม่ผันผวนเท่าหมูหรือไก่ เริ่มขยับขึ้นเช่นกัน บล.หยวนต้า คาดว่า ราคาหมู ไก่ และเป็ดจะปรับตัวขึ้นจนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน และอาจปรับตัวลง แต่คงไม่มากนัก เพราะ Supply หมูยังมีน้อย

 

ขณะที่ไก่และเป็ดดีขึ้นทั้งราคาและปริมาณขาย เพราะเป็นสินค้าทดแทน เป็นบวกกับหุ้น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) และ บมจ.บางกอกแร้นช์(BR) โดยให้น้ำหนักกับ TFG มากทึ่สุด เนื่องจากเป็นฟาร์มในประเทศเกือบทั้งหมด ทั้งหมู และไก่ ขณะที่ CPF ยังมีราคาหมูในจีนที่ยังไม่ฟื้นเป็นประเด็นกดดัน ส่วนราคาหมูในเวียดนามยังฟื้นแบบ U-Shape ส่วน BR เป็นทางเลือกของหุ้นโปรตีนที่ยังปรับตัวขึ้นไม่มากและ Laggard กลุ่ม เนื่องจากยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 4.42 บาท/หุ้น และคาดว่า เริ่มเห็นผลประกอบการ Turnaround ชัดเจนในไตรมาสแรกปีนี้ เป็นต้นไป

 

ส่วนธุรกิจอาหารคงหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ แต่ก็มีการลดต้นทุนส่วนอื่นในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ไปบางสส่วนชดเชย ซึ่งมองว่า การเพิ่มขึ้นของวัตถุดิบยังดีกว่าการล็อคดาวน์

 

ราคาอาหารทะเลยังทรงตัว

 

ราคาปลาทูน่า เดือน ธ.ค.เฉลี่ยอยู่ที่ 1,750 USD/ตัน เฉลี่ยทั้งปียังทรงตัว ขณะที่ราคากุ้งขาว(ขนาด 60 ตัว/กก.) เดือน พ.ย. อยู่ที่ 125 บาท/กก. คาดว่า ราคากลุ่มอาหารทะเลจะยังทรงตัวถึงปรับขึ้นเล็กน้อย ไม่ผันผวนเท่าราคาสัตว์บกจาก Demand ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก บล.หยวนต้า แนะนำหุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน (TU) ที่มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งจากธุรกิจ Pet Care & Value-added ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลักในอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า และส่วนแบ่งผลประกอบการจากธุรกิจร้านอาหาร Red Lobster ที่จะฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com