เอสซีจี ลั่นครึ่งปีหลังเน้นความสามารถทำกำไร รับมือปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก งัด 5 กลยุทธ์ ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลก ทั้งรัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน บริหารสินค้าคงคลัง เพิ่มสภาพคล่องการเงิน คุมเข้มใช้เงินลงทุนหลังครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดย LSP ในเวียดนามคืบหน้าร้อยละ 96 ลงทุนธุรกิจรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์รายใหญ่เนเธอร์แลนด์ แต่ไม่ปิดโอกาสลงทุนหากเสริมเอสซีจีเติบโต และทำรายได้มีกระแสเงินสด โดยยังเหลือเงินลงทุนอีกกว่า 4 หมื่นลบ.
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยถึงทิศทางดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า แม้สถานการณ์ทั่วโลกยังมีความผันผวน เป็นภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย ต้นทุนพลังงาน-วัตถุดิบเพิ่มสูง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) หรือโลกรวม ล้วนเป็นปัจจัยลบที่มีความไม่แน่นอน เอสซีจีได้เร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานหารณ์ช่วงครึ่งปีหลัง ที่ยังต้องเผขิญกับปัจจัยลบที่กล่าวข้างต้นมากกว่าปัจจัยบวก(ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมา ส่งผลต่อภาคการบริโภคที่ดีขึ้น) เพราะฉะนั้น สิ่งที่บริษีทจะโฟกัส คือ การเร่งเพิ่มความสามารถในการทำกำไรมากกว่า ส่วนด้านรายได้จากยอดขายประเมินว่าเติบโตเกินกว่าเป้าหมาย 10% แน่นอน ซึ่งเป็นผลจากการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
"ในครึ่งปีแรกบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 42% ในครึ่งปีหลัง นอกจากมีเรื่องเงินเฟ้อที่สูง ราคาพลังงานจากราคาน้ำมันที่สูง แต่ในครึ่งปีหลังก็พบว่า ราคาน้ำมันปรับลดลงเหลือ 105 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งลดลงไม่มากจากช่วงไตรมาส 2 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล เรียกว่าแทบไม่ได้ปรับลดลง และยังเป็นการปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกด้วย นอกจากนี้ยังมีด้านดอกเบี้ยที่จะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังอีก ซึ่งต้องรอดูว่าจะปรับขึ้นกี่ครั้ง ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังเน้นบริหารจัดการทั้งด้านสินค้าคงคลัง สภาพคล่องทางการเงิน ยิ่งเรื่องแผนการลงทุนที่ต้องระวัง เพราะถือเป็นต้นทุนในระยะยาว"
ด้านการลงทุนจะพิจารณาเข้มงวด ตามแผนลงทุนปีนี้ทั้งหมด 7 หมื่นล้านบาท ในครึ่งปีแรกได้ใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท และยังเหลืออีก 4-5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากในช่วงครึ่งปีหลัง มีโครงการใหม่หรือธุรกิจที่เข้ากับกลยุทธการเติบโตของเอสซีจี และสามารถลงทุนสร้างผลตอบแทนได้เร็ว เช่น มีรายได้มีกระแสเงินสดเข้ามาเลย ทำกำไรได้ไม่น้อยกว่าหรือเท่ากับเอสซีจี ในอัตรา 10-15% ก็พร้อมจะลงทุนเช่นกัน
นายรุ่งโรจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง เอสซีจีได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการภายใต้ 5 กลยุทธ์ ประกอบด้วย 1.) ลดต้นทุน ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ลดของเสียจากการดำเนินงาน และเร่งเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก อาทิ เชื้อเพลิงชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกร้อยละ 16.4
2.) พัฒนานวัตกรรม สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ ต่อเนื่อง ตลอดจนหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน 3.) เพิ่มสภาพคล่องการเงิน ด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ให้อยู่ในระดับเหมาะสม บริหารปริมาณสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ติดตามการให้สินเชื่อการค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงเสริมสภาพคล่องโดยการดำเนินการออกหุ้นกู้ในรูปแบบ หุ้นกู้ดิจิทัล ของ SCGP ในวันที่ 1 สิงหาคม 2565
4.) คุมเข้มการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ โดยชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วนออกไปก่อน หรือใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะได้ผลตอบแทน มุ่งโครงการที่ได้ผลตอบแทนเร็ว เช่น โครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม มีความคืบหน้าตามแผนร้อยละ 96 พร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ล่าสุด SCGP ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Packaging Materials Recycling Business) ใน Peute Recycling B.V. ผู้ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ และลงทุนใน Imprint Energy Inc. สหรัฐอเมริกา และ 5.) เดินหน้า ESG ด้วยแนวทาง ESG 4 Plus โดยในครึ่งปีแรกของปี 2565 มียอดขายนวัตกรรมรักษ์โลก ภายใต้ฉลาก SCG Green Choice เท่ากับ 153,240 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50 ของยอดขายรวม
สำหรับผลดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2565 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 305,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรในครึ่งแรกของปี 2565 เท่ากับ 18,781 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี เนื่องจากวิกฤติฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้กำลังการผลิตในตลาดโลกลดลง
ครึ่งปีแรกของปี 2565 เอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) 104,332 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (NPD) และ Service Solution เช่น ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Hybrid Cement) และ กระเบื้องยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย (Hygienic Tiles) คิดเป็นร้อยละ 17 และ 5 ของรายได้จากการขายรวม ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ทั้งสิ้น 135,822 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานแยกตามรายธุรกิจ ดังนี้ ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC ครึ่งปีแรก มีรายได้จากการขาย 135,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 7,292 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ครึ่งปีแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 103,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,976 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแนวโน้มในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะดีขึ้น
SCGP ครึ่งปีแรก มีรายได้จากการขาย 74,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของทุกสายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการรวมผลการดำเนินงานของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab การปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปริมาณความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,514 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีมูลค่า 903,137 ล้านบาท โดยร้อยละ 45 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากประเทศไทย)