เสียหายย่อยยับไปตามๆ กัน สำหรับผู้ถือหุ้น OTO หรือ บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา( 12-16 มิ.ย.) ถึง 5 ฟลอร์ติดต่อกัน จากราคา 16.20 บาท หล่นลงมาเหลือแค่ 2.68 บาท ฉุดมาเก็ตแคปจาก 9,071.83 ล้านบาท เหลือแค่ 1,500.80 ล้านบาทเท่านั้น มูลค่าสูญหายไปมากถึง 7,571 ล้านบาท ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 5 วันเท่านั้น
คนที่ถูกเพ่งเล็ง มองว่าเป็นผู้ร้ายในสายตานักลงทุนมากที่สุด หนีไม่พ้นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะมีหุ้นในมือมากที่สุด แต่ก็ได้รับคำยืนยันว่า ไม่ได้ขายออกมา และคงไม่คิดจะทุบหม้อข้าวตัวเอง คำปฏิเสธของผู้ถือหุ้นใหญ่จะน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ไม่อาจทราบได้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของนักลงทุน
แต่จากการตรวจสอบข้อมูลวงในจากโบรกเกอร์ "ลือ"กันว่า เป็นฝีมือกลุ่มคนที่ไม่หวังดี ที่มองเห็นช่องทางการทำกำไรจากหุ้นขาลง บนความเสียหายของผู้ถือหุ้น ร่วมมือกับโบรกเกอร์ โดยใช้วิธีสแกนหาหุ้นที่เจ้าของหุ้นกู้มาร์จิ้นมาซื้อหุ้น เพื่อเปิดปฏิบัติการทุบหุ้น
และมาจ๊ะเอ๋ กับ OTO ที่เจ้าของหุ้นพยายามประคองราคา เพื่อขายหุ้นเพิ่มทุนให้พันธมิตร 4 ราย ในราคา 16.00 บาท แถมติด Cash Balance จึงเปิดปฏิบัติการขายชอร์ตเซล ผ่าน"หุ่นยนต์นักล่า" ด้วยเครื่องมือ Robot Trade หรือ การส่งคำสั่งแบบอัตโนมัติ กระหน่ำขายอย่างบ้าคลั่ง และขายไม่หยุดตลอดทั้งสัปดาห์ กว่า 200 ล้านหุ้น
ส่วนขายผ่านโบรกเกอร์ไหน ตลาดหลักทรัพย์รู้ดี เพราะระบบการตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์ พบว่าหุ้นที่ถูกกระหน่ำขายออกมา "กระจุกตัว" อยู่ที่โบรกเกอร์ใหญ่ไม่กี่แห่ง แต่กลับทำอะไรไม่เลย ไม่มีมาตรการตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนักลงทุน
มีการตั้งข้อสังเกตุว่า หุ้นที่มีการชอร์ตเซล กระหน่ำขายออกมาอย่างบ้าคลั่งกว่า 200 ล้านหุ้น บางส่วนอาจมีการทำ ชอร์ตเซล ในลักษณะ "Naked Short" หรือการทำ ชอร์ตเซล โดยที่ผู้ขาย ไม่ได้มีการยืมหุ้นจากโบรกเกอร์มาไว้ก่อนในวันที่สั่งขายหุ้นหรือไม่ เพราะหุ้นที่ขายออกมานั้น อาจจะมีปริมาณมากเกินกว่าที่โบรกเกอร์มีหุ้นให้หยิบยืมมาขายชอร์ต
ซึ่งในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ชอร์ตเซล ในลักษณะ "Naked Short" ถือเป็นสิ่งที่ "ผิดกฎหมาย" เพราะในวันส่งมอบอาจมีความเสี่ยงที่ผู้ขายไม่สามารถส่งมอบหุ้นให้กับผู้ซื้อได้ (เรียกว่า “fail-to-deliver”)
การทำ “Naked Short” สั่งขายหุ้น ทั้งที่ไม่มีหุ้นอยู่จริง เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะหุ้นไทยค่อนข้างมีความเปราะบางสูง ไม่มีเสถียรภาพมากพอ จึงทำให้หุ้น OTO พังย่อยยับ !!
ย่อยยับจนทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งกู้มาร์จิ้นมาซื้อหุ้น และใช้หุ้น OTO เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ต้องถูกบังคับขาย
การทุบหุ้น OTO ของกลุ่มนี้ มีพฤติกรรมเหมือนที่เคยทำกับหุ้น JMART ของคุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา จนต้องถูกบังคับขาย เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แต่โชคดีที่คุณอดิศักดิ์ เจรจาหากองทุนมาช่วยพยุงไว้ได้ ความเสียหายจึงเกิดขึ้นไม่มาก ส่วน OTO ไม่มีใครช่วย จึงพังย่อยยับ !! อย่างที่เห็น
น่าแปลก..!! เวลาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ตลาดหลักทรัพย์ จะมีมาตรการดับร้อน ป้องกันความเสียหายนักลงทุน ด้วยมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1: ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance และระดับ 2: ห้าม Net settlement, ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance
แต่กรณีนี้ หุ้นปรับตัวลงอย่างผิดปกติ และลงอย่างน่ากลัว แบบ OTO กลับไม่มีมาตรการ ป้องกันความเสียหายให้กับนักลงทุน จากตลาดหลักทรัพย์ ปล่อยให้นักลงทุนรับชะตากรรมกันเองตามลำพัง
การทุบหุ้น OTO อย่างบ้าคลั่งตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้เสียหายเฉพาะนักลงทุนรายย่อย และผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่กระทบแผนธุรกิจของบริษัท เพราะมีการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น ขายแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ให้นักลงทุน 4 ราย ในราคาหุ้นละ 16 บาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง ถึงสูงมากๆ ที่นักลงทุนทั้ง 4 ราย จะไม่ซื้อ เพราะแพงกว่าราคาในกระดานถึง 7 เท่า
ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้ "คณาวุฒิ วรรทนธีรัช" ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OTO ต้องเรียกประชุมบอร์ดเป็นกรณีเร่งด่วน โดยมีมติทำหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอตรวจสอบรายการซื้อขายที่มีลักษณะผิดปกติในช่วงตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อหาตัวการร้ายทุบหุ้น
วันจันทร์นี้ คงต้องคอยดูกันว่า หลังจากผู้บริหาร OTO ออกมาเทกแอคชั่น จะช่วยหยุดยั้ง ราคาที่ไหลลงอย่างรุนแรงได้หรือไม่
แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ในวันจันทร์นี้ จะมีหุ้นเพิ่มทุนที่เกิดจากการใช้สิทธิ์แปลงจาก OTO-W1 จำนวน 233 ล้านหุ้น เข้ามาซื้อขายด้วย ซึ่งอาจมีนักลงทุนขายผสมโรงหนีตาย
จันทร์นี้ ต้องมาลุ้นกันว่า ราคาจะเริ่มนิ่ง หรือจะยังไหลลงเนื่องเป็นฟลอร์ที่ 6