Market

หุ้นแบงก์กอดคอกันร่วงเช้านี้ รับข่าว S&P หั่นเครดิต 4 แบงก์ไทย
22 มี.ค. 2565

หุ้นกลุ่มแบงก์พร้อมใจกันร่วงเช้านี้ รับข่าว S&P ปรับลดอันดับเครดิต 4 ธนาคาร SCB, KBANK, KTB, TTB

 

ราคาหุ้น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปรับลดลง 1.89% มาอยู่ที่ 155.50 บาท ลดลง 3 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,085.35 ล้านบาท เมื่อปิดการซื้อขายช่วงเช้า

 

หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มาอยู่ที่ 112 บาท ลดลง 2.50 บาท ลดลง 2.18% มูลค่าการซื้อขาย 1,063.24 ล้านบาท

 

หุ้น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) มาอยู่ที่ 134.00 บาท ลดลง 1.00 บาท ลดลง 0.74% มูลค่าการซื้อขายรวม 786.80 ล้านบาท

 

หุ้น ธนาคารกรุงไทย (KTB) มาอยู่ที่ 13.30 บาท ลดลง 0.20 บาท ลดลง 1.48% มูลค่าการซื้อขาย 443.47 ล้านบาท

 

หุ้น ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) มาอยู่ที่ 1.28 บาท ลดลง 0.03 บาท ลดลง 2.29% มูลค่าการซื้อขาย 346.71 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ เป็นผลมาจาก ข่าวเอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อของธนาคาร 4 แห่งของไทย เนื่องจากคาดว่า ความเสี่ยงเชิงระบบที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคารในประเทศไทย
          

ทั้งนี้ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ลงสู่ระดับ BBB จากระดับ BBB+ พร้อมกับปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงไทย และธนาคารทีเอ็มบีธนชาต ลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ BBB
          

ขณะเดียวกัน S&P ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงเทพ ที่ระดับ BBB+ โดระบุว่า ธนาคารแห่งนี้มีความสำคัญในเชิงระบบในประเทศไทยซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ และได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ระดับ BBB+ โดยระบุว่า ธนาคารได้ประโยชน์จากการเป็นธนาคารในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป
          

S&P ระบุว่า แม้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยง แต่คาดว่ามาตรการเหล่านี้อาจจะทำให้ผลกระทบที่เกิดจากปัญหาด้านการปล่อยกู้ในภาคธนาคารยืดเยื้อออกไปอีก
          

S&P ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นไปอย่างเปราะบางและไม่เสมอภาคกันในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากการเดินทางระหว่างประเทศที่ต้องถูกเลื่อนออกไป อันเนื่องมาจากสงครามยูเครน
          

S&P คาดการณ์ว่า เงินกู้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในภาคธนาคารของไทยจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นในอีก 24 เดือนข้างหน้า จนแตะที่ระดับ 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551
          

ทั้งนี้ แม้ว่าการปรับโครงสร้างจะช่วยให้การทำธุรกิจดำเนินต่อไปได้ชั่วคราว แต่คาดว่ากลุ่มลูกหนี้ยังต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ ในช่วงเวลาที่รัฐยังขาดมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการลดภาระหนี้สินที่ระดับสูงของภาคครัวเรือน
          

อย่างไรก็ดี S&P ระบุว่า แนวโน้มของธนาคารไทยยังคงมีเสถียรภาพ เนื่องจากธนาคารยังสามารถรักษาฐานเงินทุน และอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยรองรับผลกระทบได้บางส่วน

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com