Market

การบินไทย Q2 กำไร 4 ไตรมาสซ้อน กระแสเงินสดนิวไฮพุ่ง 5.1 หมื่นลบ. ชี้ครึ่งปีหลังไปต่อ ลุ้นหลุดแผนฟื้นฟูเร็วขึ้น
11 ส.ค. 2566

การบินไทยโชว์ Q2/66 รายได้โตดี ปั๊มกำไร 4 ไตรมาสซ้อน มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกหลังโกยรายได้ 7.8 หมื่น ลบ. กำไรรวมเกือบ 1.5 หมื่น ลบ. เผยกระแสเงินสดพุ่งแตะ 5.1 หมื่นล้านบาท สูงสุดประวัติการณ์  ครึ่งปีหลังแนวโน้มดีต่อเนื่อง ลุ้นรายได้แตะเป้า 1.6  แสนลบ. และผู้โดยสารถึง 9 ล้านคน  คาดปีหน้าออกจากแผนฟื้นฟูได้เร็วขึ้นใน Q3   และคาดกลับมาเทรดในตลาดต้นปี 68 

 

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บรืหาร บริษัทการบินไทยจำกัด ( มหาชน) หรือหุ้นTHAI กล่าวว่า  ผลดำเนินงานในปีนี้ ออกมาเป็นที่น่าพอใจและสูงกว่าเป้าหมาย  โดยไตรมาส 2/2566  (Q2/66)  ผลดำเนินงานทำได้ดีต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน นอกจากนี้เป็นไตรมาสที่การบินไทยมีกระแสเงินสดพุ่งถึง 5.1 หมื่นล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ดำเนินกิจการ  สะท้อนถึงการปรับตัวทั้งด้านการบริหารต้นทุนการปรับโครงสร้างต่างๆได้ดีของบริษัทเป็นไปตามแผนฟื้นฟู   และจะพยายามแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น หลังจากนี้มั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจจากผู้โดยสาร 

 

ทั้งนี้ THAI งบการเงินรวมในไตรมาส 2/66 รายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว)  37,381 ล้านบาท เพิ่ม 74% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,576 ล้านบาท(YoY) ที่ขาดทุนจากการดำเนินการ 1,299 ล้านบาท  ทำให้ไตรมาส 2 นี่ กำไรฯ เพิ่มขึ้น 760%  ส่วนกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม(EBITDA)  อยู่ที่  9,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 351% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มี 2,062 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,262 ล้านบาท  พลิกจากขาดทุน 3,221 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 171%  สิ้น  มิ.ย. 2566 ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 56,200 ล้านบาท  ลดลงจากที่ติดลบกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 71,000 ล้านบาท. ในส่วนงบการเงิน  ครึ่งปีแรกนี้ มีรายได้รวม 78,889 ล้านบาท (ไม่รวมรายการที่เกืดขึ้นครั้งเดียว)  เพิ่มขึ้น141% กำไรสุทธิ 14,795 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อน ขาดทุน 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น329% โดยเป็นกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 14,776 ล้านบาท 

 

พร้อมกันนี้ คาดหวังในครึ่งปีหลังการบินไทยยังสามารถเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก  และมีรายได้ใกล้เคียงเป้าหมายปีนี้ที่  1.6 แสนล้านบาท จำนวนผู้โดยสารกว่า 9 ล้านคน และมีเครื่องบินใหม่เข้ามาตามแผน  ทำให้มีความมั่นใจ ทิศทางผลการดำเนินงานดีต่อเนื่องถึงปีหน้าจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูได้เร็วขึ้นราว 1 ไตรมาส  คือไตรมาส 3 ปีหน้า  จากเดิมคาดไตรมาส 4 ปี 2567  และหากฐานะทางการเงินต่างๆของบริษัทดีขึ้นและเป็นบวก คาดจะสามารถกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นอีกครั้งราวไตรมาสแรกปี2568 

 

"ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาเป็นโลว์ซีซั่น แต่เราก็ยังทำผลดำเนินงานออกมาได้ดีกว่าเป้าหมาย  และแม้ในไตรมาส 3 ยังอยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น แต่ไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นที่ผลงานสูงสุดในรอบปี ประกอบกับมีเครื่องบินใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มกำลังขนส่ง "

 

สำผรับผลดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง หลังจากกระแสเงินสดที่สูงและผลกำไรที่ดีต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทมีความพร้อมในการชำระหนี้มี่มีจำนวน 1.3 แสนล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยจ่ายหนี้ในปี 2567 ตามแผนฟื้นฟู ซึ่งจะเป็นการจ่ายดอกเบี้ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท ใน 3 ปี ส่วนหุ้นกู้จะเริ่มครบอายุไถ่ถอนปี 2574 จำนวนเงิน 7.2 หมื่นล้านบาท ด้านการเพิ่มทุนเป็นไปตามแผนฟื้นฟู ซึ่งมีทั้งส่วนของการแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้เป็นการเพิ่มทุนรอบแรก ในราคาหุ้นละ 2.54 บาท และการเพิ่มทุนรอบสองจากผู้ถือหุ้นเดิมคาดว่าจะระดมเงินไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยราคาหุ้นจะต้องไม่ต่ำกว่า 2.54 บาท หากแผนเพิ่มทุนดังกล่าวเรียบร้อย คาดว่าจะทำให้มีส่วนของทุนเป็นบวก 

 

นายชาย กล่าวถึงแผนการดินหน้าขยายธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีมูลค่าลงทุน 7-8 พันล้านบาท โดยเตรียม Business Model ไว้หลายคาดใช้เวลา 3-4 เดือน และอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรหลายรายในการร่วมลงทุน

 

ายละเอียดของงบการเงินไตรมาส 2/2566 และครึ่งปีแรกของ THAI 

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 37,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 21,526 ล้านบาท หรือ 73.7% แต่ลดลง 9.9% จากไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งเป็นไปตามปกติของธุรกิจที่ไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่มีผู้โดยสารเดินทางต่ำที่สุดในช่วงปี โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางที่เป็นที่นิยม อาทิ ประเทศญี่ปุ่นและจีน มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 3.35 ล้านคน และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 79.2% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเฉลี่ย 60.3% 

 

บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 28,805 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่าย 22,825 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 8,576 ล้านบาท ดีกว่าไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ขาดทุน 1,299 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 ของปี 2566 นี้เป็นไตรมาส 2 ที่บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานสูงสุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงิน  ซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 3,967 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่ส่วนใหญ่มาจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นค่าใช้จ่ายรวม 2,643 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 2,273 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อน ขาดทุน 3,213 ล้านบาท เป็นกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,262 ล้านบาท โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 9,307 ล้านบาท 

 

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 78,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 32,706 ล้านบาท ในขณะเดียวกันมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 57,280 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวม 37,175 ล้านบาทบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 21,609 ล้านบาท ดีกว่างวดเดียวกันของปี 2565 ที่ขาดทุน 4,469 ล้านบาท โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 7,515 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่ส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นรายได้รวม 344 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 14,795 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนขาดทุน 6,457 ล้านบาท เป็นกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 14,776 ล้านบาท มีEBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 23,361 ล้านบาท 

 

ในปัจจุบัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 67 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบินลำตัวแคบ 20 ลำ และเครื่องบินลำตัวกว้าง 47 ลำ โดยบริษัทฯ เพิ่งรับเครื่องบินลำตัวกว้างจากการเช่าดำเนินการเข้ามาในฝูงบินในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาจำนวน 2 ลำ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 12.0 ชั่วโมงต่อวัน โดยเป็นส่วนของการบินไทย 14.0 ชั่วโมงต่อวัน  มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 76.9% ปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร(RPK) เพิ่มขึ้น 192.8% อัตราส่วน การบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 81.4% สูงกว่าปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 49.2% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่ง รวมทั้งสิ้น 6.87 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 126.7%

 

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 223,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 25,140 ล้านบาท (12.7%) หนี้สินรวมจำนวน 279,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 10,369 ล้านบาท (3.9%) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อยติดลบจำนวน 56,253 ล้านบาท ติดลบลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 14,771 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทฯ จึงมีเงินสดคงเหลือจำนวน 51,153 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 เพิ่มขึ้น 16,613 ล้านบาท จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com