กลุ่มเจมาร์ท ปี 66 เปิดเกม Synergy ตั้งเป้า JMART โต 50% แม่ทัพใหญ่”อดิศร” ชี้ปีนี้เป็นปีแห่งโอกาส นำบริษัทในเครือเชื่อมโยง Ecosystem พร้อมลุยขยายการลงทุนใหม่ๆ หนุนอาณาจักรธุรกิจค้าปลีก การเงิน และเทคโนโลยี ขยายฐานกำไรโตทั้งOrganic Growth และ Inorganic Growth
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือJMART เปิดเผยว่า JMART ตั้งเป้าผลการดำเนินงานปี 2566 ทำกำไรนิวไฮต่อเนื่องโดยคาดเติบโต 50% จากปีก่อน มาจากการเติบโตทั้งในรูปแบบ Organic Growth และ Inorganic Growth โดย Organic Growth ผลมาจากธุรกิจในกลุ่มมีทิศทางเติบโตจากการเชื่อมโยง Ecosystem ประกอบด้วย JMART JMT J และ SINGER และInorganic Growth ผ่านการทำ Synergy กับบริษัทนอกกลุ่ม ซึ่งจะเริ่มเห็นตัวเลขอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย สุกี้ตี๋น้อย, BRR, JK AMC, De Siam และจะเกิดขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้ ร่วมกับ PRTR บริษัทบริหารทรัพยากรบุคคลชั้นนำของประเทศ จะทำให้กลุ่มบริษัทสามารถต่อ ยอดโอกาสใหม่ๆ และจะส่งผลกำไรจากการลงทุนเข้ามาในปี 2566 และในปีถัดไป
“ซึ่งยังไม่นับรวมแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่มีศักยภาพเพิ่มเติม พยายามทำธุรกิจให้มี Synergy เกิดขึ้น และพยายามในการสร้าง J-Curve เพื่อให้เป็นการเติบโตแบบยั่งยืน มองว่า นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะพิสูจน์ สะท้อนความเชื่อมั่นผ่านผลประกอบการที่ผ่านมา”
โดยก่อนหน้านี้ JMART ทำ Big lot ในบริษัท บางกอกเดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือBKD จำนวน 100 ล้านหุ้น สัดส่วน 9.20% ราคา 2.16 บาท มูลค่า 216 ล้านบาท เพื่อผนึกกำลังเป็นพันธมิตรร่วมกัน และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ เนื่องจาก BKD มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายในอาคาร และเฟอร์นิเจอร์
สำหรับ JMART ในปี 2565 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 1,795 ล้านบาท ลดลง 27% แต่หากไม่รวมรายการกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นในปี 2564 จำนวน 1,296 ล้านบาท บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเติบโตที่ 53% ในปีที่แล้ว ตอกย้ำผู้นำ Ecosystem ที่ครบวงจรที่สุดในธุรกิจค้าปลีก การเงิน และเทคโนโลยี
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่าปี 2566 มีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่มีกำไรทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 1,746 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 25% มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,410 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 22% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 67% และอัตรากำไรสุทธิ 36% ทั้งนี้ หากไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดขึ้น เช่น ค่าเคลมประกันโควิด บริษัทจะมีการเติบโตของกำไรสุทธิกว่า 32% มีพอร์ตบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรวมอยู่ที่ 331,410 ล้านบาท จากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 238,212 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 93,198 ล้านบาท) ซึ่งรวมถึงหนี้ด้อยคุณภาพจากทางบริษัท บริหารสินทรัพย์ เจเค จำกัด (JK AMC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่เริ่มเดินหน้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารแล้วในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 อยู่ที่ราว 70,000 ล้านบาท มากกว่าแผนดำเนินงานที่เคยให้ไว้ และ JK AMC สามารถทำกำไร 196 ล้านบาท (JV Equity Consolidated 98 ล้านบาท)
สำหรับในปี 2566 JMT ตั้งเป้ากำไรเติบโต 30% จากปีก่อน มั่นใจว่า ด้วยโครงสร้างบริษัทในกลุ่มที่แข็งแกร่งขึ้น โดยกลุ่มธุรกิจบริหารหนี้ ประกอบด้วย หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน และมีหลักประกัน มองว่าจะเติบโตยิ่งขึ้น สอดรับภาพรวมสถาบันการเงินต่างๆจะทยอยเปิดประมูลขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาต่อเนื่องตลอดทั้งปี หลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากสถาบันการเงิน จึงตั้งเป้าในปีนี้งบลงทุนซื้อหนี้อยู่ที่ประมาณ10,000 – 15,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโอกาสจาก JK AMC ที่ภาพการเติบโตจะชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้
นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยว่า ในปี 2566 มั่นใจว่า J จะวิ่งได้เร็วกว่าเดิมและคล่องตัวด้วยโครงสร้างธุรกิจที่ชัดเจน โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในโครงการพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน ของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันมี 5 โครงการ และคาดว่าในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 2 โครงการ ที่ Jas Green Village บางบัวทอง และ Jas Green Village รามคำแหง สนับสนุน J มี 7 โครงการในสิ้นปี และมีพื้นที่เช่าของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเฉียด100,000 ตารางเมตร ขณะที่แผนการขยายศูนย์การค้าในปี 2567 – 2568 บริษัทฯได้ที่ดินเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 2 แห่งที่ระยองและขอนแก่น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบุกตลาดหัวเมืองต่างจังหวัด
สำหรับภาพรวมการขยายธุรกิจด้านสุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ของโครงสร้างประชากรไทยที่จะเป็นสังคมของผู้สูงอายุมากขึ้น บริษัทฯ ได้เปิดโครงการบ้านพักผู้สูงอายุ ภายใต้แบรนด์ “Senera Senior Wellness” เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่คาดหวังว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรกลับมาที่บริษัทฯได้อย่างแข็งแกร่ง วางเป้ามีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% และกำลังจะเปิดแพลตฟอร์ม “สุขใจ Health & More” เพื่อรวมสินค้าและบริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร นอกจากนี้ ธุรกิจ IT Junction และพัฒนาตกแต่งบ้านมือสองพร้อมขาย ที่จะปรับกลยุทธ์และโฟกัสมากขึ้นในปีนี้ รวมไปถึง การ Synergy กับทางสุกี้ ตี๋น้อย เพื่อเป็นพันธมิตรในการขยายศูนย์การค้าออกไปในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ คาดจะได้เห็นสาขาแรก สุกี้ตี๋น้อย ที่ JAS Amata ชลบุรี เร็วๆ นึ้
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า ผลประกอบการปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.2% ภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ในระดับที่ 4.62% โดยมีบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่สามารถสร้างการเติบโตจากธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (C4C) ภายใต้แบรนด์รถทำเงินได้ตามเป้าหมาย และเมื่อปีที่แล้วสามารถเข้ามาระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะสนับสนุนให้ปีนี้ SINGER มีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ขยายธุรกิจด้วยต้นทุนดอกเบี้ยในระดับต่ำอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมมุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง NPL ในอนาคต
นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC หนึ่งในผู้นำด้านสินเชื่อชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า หลังจาก SGCิเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งในด้านแหล่งเงินทุนให้บริษัทฯ สามารถขยายการเติบโตด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมเดินหน้าในปี 2566 รับอานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิดผ่อนคลาย ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีความต้องการด้านสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง และนำไปใช้ขยายกิจการ ถือเป็นโอกาสบุกตลาดรับโอกาสทองในปีนี้ โดยจะเน้นสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน” มุ่งเน้นรถบรรทุกเป็นหลัก รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายพอร์ตสินเชื่อแตะระดับ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 จากสิ้นปี 2565 มีพอร์ตสินเชื่อรวม 14,897 ล้านบาท และคาดสิ้นปี 2566 พอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท โดยให้ความสำคัญในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรัดกุม เพื่อควบคุม NPL ให้อยู่ในระดับต่ำ หรือวางเป้าไม่เกิน 5%
ด้าน นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบายจำกัด (JAYMART MOBILE) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายมีรายได้รวมเฉียด10,000 ล้านบาท โตจากปีก่อน 19% ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 354 ล้านบาท โตจากปีก่อน77% โดยเป็นการเติบโตในทุกช่องทางทั้งค้าส่ง ค้าปลีก ออนไลน์ และตัวแทนขายของSINGER อีกทั้ง เริ่มเห็นยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตมากขึ้น อาทิเครื่องใช้ไฟฟ้า ไอที เกมมิ่ง โดยมีบริการสินเชื่อเสริมทัพที่เติบโตแบบก้าวกระโดด อาทิสินเชื่อจากบริษัท เคบี เจ แคปปิตอล (Kashjoy) จับมือ ไทยซัมซุง เปิดให้บริการซัมซุงไฟแนนซ์พลัส (Samsung Finance+) ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก
รวมทั้งการเติบโตผ่าน Synergy shop ที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเจมาร์ทเริ่มเปิดสาขาบนพื้นที่สถานีรถไฟฟ้า BTS เรียบร้อยแล้ว สนับสนุนสิ้นปี 2565 มี 3 สาขา ในไตรมาส 1 ปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา รวมเป็น 11 สาขา ทราฟฟิคที่ดีมาก และคาดปิดสิ้นปีนี้จะมี 30 สาขาบน BTS เพื่อให้ภาพ Synergy นอกกลุ่มบริษัทชัดเจนขึ้น ซึ่งรวมถึง ความร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่นๆ ในการทำแคมเปญร่วมกัน จึงคาดว่าในปีนี้เจมาร์ท โมบาย ตั้งเป้ากำไรสุทธิโต 30% และเห็นโมเมนตัม Next-Curve ของเจมาร์ทโมบายชัดเจนขึ้น
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC)เปิดเผยว่า JVC ในวันนี้ครบรอบ 5 ปี และมีการพัฒนาโปรเจกต์ใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนกลุ่มบริษัทมุ่งหน้าสู่ Jaymart Digital Transformation (JDX) และสนับสนุนปี 2565 JVC สามารถทำกำไรสุทธิไว้ที่ 18.8 ล้านบาท เนื่องจากแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ลงทุนสร้างขึ้นมา เริ่มทำงาน และเงินลงทุนไม่ได้โตตาม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทรานฟอร์มกลุ่มบริษัทเจมาร์ทสู่ Digital Economy รวมถึงการให้ความสำคัญในระบบ JFIN Chain Adoption และการทำ Corporate DX (CDX) ขยายไปยังบริษัทนอกกลุ่มเจมาร์ท อีกทั้งสนับสนุน JMART มุ่งสู่ Virtual Banking ในอนาคต จึงคาดว่าในปี 2566 นี้ พร้อมสู่เส้นทางการเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต และสนับสนุนฐานกำไร JMART ให้เป็น J-Curve โดยแท้จริง