หุ้นน้องใหม่ "ไทยประกันชีวิต" ปิดตลาดต่ำจองอยู่ที่ 15.90 บ/หุ้น ที่ปรึกษาทางการเงินฯ ส่งเซลล์เจรจาสถาบันซื้อเพิ่มในช่วงราคาถูก ชี้หุ้นประกันเป็นหุ้นแกร่ง ทนทานเศรษฐกิจถดถอย ได้ประโยชน์เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมส่งซิกจังหวะพยุงหุ้นบริเวณ 15.80-16 บาท หลังกรีนชูไปจำนวนกว่า 160 ล้านหุ้น ด้านผู้บริหาร TLI ชี้หุ้นเหมาะกับลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ชูนักวิเคราะห์ให้ราคาเฉลี่ย 18.80 บาท
วันที่ 25 กรกฎาคม 2565 เป็นวันแรกของการเข้าซื้อขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)หรือ TLI ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) โดยความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น TLI เปิดตลาดที่ 16 บาท/หุ้น เท่ากับราคาไอพีโอ 16 บาท และปรับขึ้นสูงสุด16.30 บาท หลังจากนั้น ราคาหลุดต่ำจองไปแตะต่ำสุด 15.90 บาทในรอบเช้า ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ในรอบบ่ายมีแรงซื้อกลับหุ้น TLI หนุนราคากลับมาเคลื่อนไหวเหนือจองอยู่ระดับ 16.10 บาท และปิดตลาดที่ 15.90 บาท ลดลง 0.10 บาท ( -0.62%) มูลค่าการซื้อขาย 10,246 ล้านบาท ติดอันดับหนึ่งในตลาด โดยดัชนีตลาดฯปิดที่ระดับ 1,560.31 จุด บวก 7.50 บาท (0.49% )
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายวาณิชธนกิจและตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น TLI กล่าวว่า เช้านี้บรรยากาศตลาดหุ้นถือว่าแย่มากโดยดัชนีหุ้นไทย (SET Index) เคลื่อนไหว Sideway ซึ่งราคาหุ้น TLI เปิดมายืนเท่าราคาจองก็น่าจะเป็นคำตอบได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ราคาหุ้น TLI ปรับตัวลงต่ำจองนั้น ถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับผู้ที่สนใจหุ้น TLI รวมถึงนักลงทุนสถาบันที่เคยมีความต้องการจองซื้อล้นจากยอดที่จัดสรรให้ได้ก่อนหน้านี้
สำหรับการดูแลราคาหุ้นผ่านกลไกที่ได้ทำกรีนชู ที่นำมากระจายหุ้นจำนวนกว่า 161 ล้านหุ้นนั้น จะเป็นเครื่องมือในการเข้าพยุงราคาได้หากเห็นว่าราคาต่ำจอง ภายในช่วงเวลา 30 วัน (วันที่ 23 ส.ค.นี้ )
"ตอนนี้ ทางเซลล์ของเรา ก็กำลังติดต่อสถาบันที่จองซื้อแล้วได้ไม่เต็มจำนวนว่า ยังต้องการลงทุนหุ้น TLI ในตลาดเพิ่มหรือไม่ ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด หากตลาดแย่มากก็อาจจะช่วยได้ลำบาก แต่เชื่อว่าตลาดไซด์เวย์ บางวันปรับตัวขึ้นบางวันย่อตัว ก็น่าจะมีโอกาสประคับประคองราคาหุ้นไปได้ เราจะดูสภาพตลาดก่อน บางวันที่ตลาดแย่มากๆ หากเราจะเข้า defend ในช่วงที่มีแรงขายมากๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ คงจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด และหากตลาดเริ่มนิ่งๆ มีจังหวะที่เหมาะสม ก็จะใส่ออร์เดอร์ไปรอรับตั้งแต่ราคา 15.80-15.90 บาท/หุ้น และทำได้สูงสุดตามเกษณฑ์คือไม่เกิน 16 บาท ซึ่งเราสามารถทำกรีนชูได้ในช่วง 30 วัน" นายอนุวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับราคาหุ้นในปัจจุบัน หากนักลงทุนมองปัจจัยพื้นฐานของหุ้น TLI ที่แข็งแกร่งในธุรกิจประกันชีวิต และมีความทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอย(Recession)โลก ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อีกทั้งยัพอร์ตลงทุนยังงได้ประโยชน์จากเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น และมีช่องทางขายผ่านตัวแทนที่แข็งแกร่ง และขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตระยะยาวที่มีอัตรากำไรดีด้วย จึงอยากให้มองที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมากกว่า” นายอนุวัฒน์กล่าว
สำหรับโอกาสที่หุ้น TLI จะสามารถติดกลุ่ม SET50 หรือไม่ คงต้องดูมูลค่าราคาตลาดรวม(มาร์เกตแคป)ของหุ้น TLI ที่ปิดวันแรกก่อน ซึ่งเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำหนดว่า หากมาร์เก็ตแคปมูลค่าเกินกว่า 1% ของมาร์เก็ตแคปทั้งตลาด จึงจะสามารถเข้า SET50 ได้เลย หากประเมิน ณ ดัชนี SET Index อยู่บริเวณ 1,550 จุด ราคาหุ้น TLI จะต้องอยู่ที่ 16.40 บาท โดยตลท. จะประกาศในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ค.) และจะสามารถเข้าคำณวนในกลุ่ม SET 50 ภายใน 3 วันทำการนับจากวันแรกที่เข้าเทรด แต่หากหลุดรอบของวันแรกแล้ว จะต้องรอการพิจารณาเข้ากลุ่ม SET50 ตามรอบปกติ
นายวิญญู ไชยวรรณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยประกันชีวิต (TLI) เปิดเผยว่า สำหรับราคาหุ้น TLI หากอ้างอิงจากนักวิเคราะห์ ที่ประเมินผ่านปัจจัยพื้นฐานของ TLI เฉลี่ยอยู่ที่ 18.80 บาท โดยในด้านปัจจัยพื้นฐาน ตั้งแต่ต้นปีนี้ บริษัทได้มีการปรับการเสนอขายสินค้าที่มีอัตรากำไร (มาร์จ้ิน) สูงขึ้น จากเดิมที่เป็นสินค้าที่การันตีผลตอบแทน ได้เปลี่ยนมาเป็นสินค้าประกันควบการลงทุน ยูนิตลิงค์ ซึ่งทำให้มีมาร์จิ้นที่สูงขึ้น และเราสามารถปรับพอร์ตสินค้าประกันได้สำเร็จด้วย จึงอยากให้อดใจรอดูผลประกอบการที่จะประกาศออกมา
"จริงๆธุกิจประกันชีวิตจะดูเพียงยอดขายเบี้ยอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องดูกำไรในอนาคตด้วย ซึ่งหลังการปรับพอร์ตจะเห็นผลสำเร็จ"นายวิญญูกล่าว
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยประกันชีวิต กล่าวว่า แนวโน้มผลดำเนินงานในปี 2565 คาดว่ารายได้เบี้ยรับรวมจะเติบโตสูงกว่าปี 2564 โดยในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าคนไทยยังให้ความสนใจในตัวสินค้าที่เป็นความคุ้มครองเป็นหลักอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพ หลังจากที่มีโรคระบาดต่างๆเกิดขึ้น ส่วนสินค้าประกันออมทรัพย์จะมีลดน้อยลง ส่วนทิศทางผลดำเนินงานในไตรมาส 2/65 คาดจะเปิดเผยได้ในกลางเดือน ส.ค. 65 ส่วนโอกาสในการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในรอบนี้ ยังไม่เห็นเนื่องจากเป็นปีแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์และบริษัทเพิ่งได้จ่ายเงินปันผลออกไปเมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา
สำหรับภาพรวมพอร์ตลงทุนของบมจ. ไทยประกันชีวิต มูลค่า 5 แสนล้านบาทในปัจจุบัน จะมีเพดานลงทุนในหลักทรัพย์ไม่เกิน 15% ซึ่งที่ผ่านมาลงทุนไปแล้ว 13% ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้เป็นหลัก ซึ่งทำให้ได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น คาดผลตอบแทน 3-4%
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยประกันชีวิต กล่าวว่า ธุรกิจประกันชีวิตเป็นธุรกิจที่สามารถลงทุนในระยะยาวให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง และจากการที่บริษัทได้นำเงินระดมทุนมาพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) และส่งเสริมการตลาด ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันที่ดีให้แก่ลูกค้า ที่สำคัญ การพัฒนายกระดับสู่ Digital Transformation จะทำให้อนาคตของบริษัทมีศักยภาพพร้อมรองรับตลาดที่อาจจะมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เป็นแพลตฟอร์มต่างๆที่ไม่ใช่แวดวงธุรกิจประกันเข้ามาร่วมวงแข่งขัน ซึ่งการเตรียมความพร้อมในวันนี้จะทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
"เราเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแรง เป็นหุ้นที่เหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว เพราะให้ผลตอบแทนที่สม่ำดสมอ แม้วันนี้บรรยากาศตลาดไม่ดี เพราะตลาดโลกมีความผันผวน นักลงทุนสถาบันเชื่อมั่นในพื้นฐานของธุรกิจประกันชีวิตแ ซึ่งในต่างประเทศจะถือหุ้นประกันระยะยาวกัน" นายไชยกล่าว
ทั้งนี้ บมจ. ไทยประกันขีวิต มีจำนวนหุ้น IPO (2,155 ล้านหุ้น) รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (กรีนชู) ราว 2,316.7 ล้านหุ้น ราคา IPO 16.00 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมประมาณ 37,067 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) นับเป็น IPO ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2565 และเป็น IPO ของหุ้นในหมวดธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย รวมทั้งยังมีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดสูงในหมวดธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับจากปี 2543 และมีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Capitalization) ประมาณ 183,200 ล้านบาท ณ ราคา IPO