Market

SCB  WEALTH ยกทีมแนะ 5 กลยุทธจัดพอร์ตแกร่ง สูตรลงทุนพิชิตวิกฤต เตือนหุ้นไทยไตรมาส 3 ต่ำสุดรอบปี
22 มิ.ย. 2565

SCB WEALTH เปิดสูตรลงทุนต่อยอดความมั่งคั่งให้ลูกค้า  Wealth  ด้าน SCB CIO ชง  5 กลยุทธ์ จัดพอร์ตแกร่ง พิชิตวิกฤตต่างๆ ชนะเงินเฟ้อสูงและดอกเบี้ยขาขึ้น ในช่วงตลาดผันผวน แนะทยอยสะสมตราสารหนี้คุณภาพดี กระจายความเสี่ยงสู่สินทรัพย์ Private asset,  Structure note และหุ้นกลุ่ม ESG   ส่วน SCBS คาดกำไรบจ. ไตรมาส 2 นี้ทรงตัวกับไตรมาสแรก เตือนระวัง Q3 ดัชนีตลาดฯปรับตัวต่ำสุดรอบปี  รอฟื้นตัวหายใจอีกทีปลายปี   เคาะเป้าหมาย SET Index ปีนี้  1,650  จุด  แนะลงทุนหุ้นที่มีกำไรแกร่ง ราคาไม่แพง ได้แก่ กลุ่มธนาคาร อาหารและเครื่องดื่ม


นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment office and product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO office ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญปัญหาอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวในระดับสูงและมีความเสี่ยงชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้หลายประเทศมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี  2566 -2567  โดยมี 3 ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก  ดังนี้

 

1) ผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทาน ภายหลังจากหลายประเทศที่เป็นฐานของเศรษฐกิจหลักของโลกกำลังกลับเข้าสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบปกติก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 แต่กลับมีการถูกกระทบของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อุปทานด้านแรงงานก็ยังประสบภาวะขาดแคลน ทำให้ค่าแรงมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคบริการ

 

2) ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical conflicts) มีแนวโน้มยืดเยื้อ ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่าง รัสเซีย- ยูเครน ความตึงเครียดระหว่างโลกประชาธิปไตยตะวันตกกับโลกสังคมนิยม ทำให้เกิดการกีดกันในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางการเมือง นโยบาย และ มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ ราคาพลังงานและ อาหารปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อด้านต้นทุน (cost push inflation) ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อตามไปด้วยและไม่น่าจะปรับตัวลดลงได้เร็ว 

 

3) การปรับเปลี่ยนของนโยบายการเงินแบบฉับพลันหลังเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยเฉพาะนโยบายการเงินที่เคยมีลักษณะผ่อนคลายทั่วโลก มีการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำและอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยาวนาน และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาของสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อเงินเฟ้อเริ่มเร่งตัวสูงและมีแนวโน้มยืดเยื้อทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นอย่างมาก โดยการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและดึงสภาพคล่องออกจากระบบ

 

@  5 กลยุทธจัดพอร์ตลงทุนกระจายเสี่ยง-เพิ่มผลตอบแทน

 

สำหรับนัยต่อภาพการลงทุน ภาวะเงินเฟ้อสูงที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ จะส่งผลให้วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 2565 – 2566 และส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงินโลก ผ่านการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร การลดลงของผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเน้นการเติบโตของรายได้สูงแต่ยังไม่มีกระแสเงินสดรองรับในระยะสั้น (long duration equities) นอกจากนั้นความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ยังจะทำให้ความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีสูงขึ้นอีกด้วย  

 

"เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เกิดขึ้นจากค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น หลังจากมีการเปิดเมืองของประเทศต่างๆ และมีอำนาจการใช้จ่ายสูง จึงทำให้เป็นเงินเฟ้อจากฝั่ง Demand ซึ่งยากที่จะเห็นการปรับตัวลงของเงินเฟ้อในระยะสั้น ทำให้วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น ยังคงดำเนินต่อไปอีก 1 ปีครึ่ง ขณะที่หลายธนาคารกลางของโลก ทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อช้าเกินไป  เมื่อต้องมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ จึงอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจปีนี้ชะลอตัว แต่ยังไม่เกิดภาวะถดถอย แต่ปีหน้ามีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยขึ้นได้ เมื่อเราเจอทั้งโรคเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจชะลอตัวจากดอกเบี้ยขึ้น จึงทำให้การลงทุนยากขึ้น " นายศรชัยกล่าว

 

กลยุทธ์การจัดพอร์ตเพื่อชนะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้นแบบเร็วและแรง รวมถึงตลาดการเงินโลกที่ยังผันผวน  โดยแนะนำ 5 กลยุทธ์ ดังนี้

 

1) สร้างกระแสเงินด้วยการทยอยสะสมตราสารหนี้คุณภาพสูง (Build income streams) ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อต่อราคาพลังงานและอาหาร จะยังทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา สินทรัพย์ที่เป้นพันธบัตรได้สะท้อนราคาตามปัจจัยเสี่ยงนี้แล้ว  และหากในระยะข้างหน้า การขยับขึ้นของเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง ดอกเบี้ยอาจจะไม่ต้องปรับขึ้น จะทำให้เห็นดอกเบี้ยของพันธบัตรเคลื่อนตัวช้าลง จึงถือเป็นจุดที่พิจารณาเข้าลงทุนในพันธบัตรได้ โดยเน้นทยอยสะสมพันธบัตรคุณภาพสูง (Investment Grade) จะเป็นการสร้างกระแสรายได้ให้กับพอร์ตโฟลิโอได้ หรือหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้ง A- จะให้ผลตอบแทนสูง 4.5%  ซึ่งมองความเสี่ยงขาลงของการลงทุนพันธบัตรจะมีไม่มากแล้ว 

 

2) กระจายความเสี่ยงสู่ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องจับจังหวะการลงทุนก็กำไรได้ (Non-directional products)  การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวตามตลาด ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากสงครามและความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย ด้วยการใช้ Market timing อาจเกิดภาวะแรงฉุดจากความผันผวน (Volatility drag) ในพอร์ตโฟลิโอได้ เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ประเภท Private assets จะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอและลดความผันผวนของพอร์ตได้ โดยนักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการเลือกลงทุนใน Private equity แม้ว่าที่ผ่านมามีผลตอบแทนติดลบ  2-3% ถืเล็กน้อย เพราะหากในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นฟื้นกลับมาจะปรับขึ้นสูงได้ ส่วน Private credit, และ Private real estate ก็เป็นสินทรัพย์ที่ยังให้ผลตอบแทนดีสูงเฉลี่ย 6-10%  เป็นต้น 

 

3)  ป้องกันความเสี่ยงด้านต่ำ (Limit downside risk) ด้วยหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง (Structure notes) สำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงด้านต่ำในการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ได้ในประเด็นนี้ โดยทาง SCB CIO มีทางเลือกหลากหลายในด้านผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น KIKO และ Equity-Linked Note ซึ่งหากเป็นการลงทุนอ้างอิงในหุ้นไทย จะให้ผลตอบแทนราว 8% แต่หากเป็นหุ้นต่างประเทศจะสูงราว 20%/ปี  แต่อย่างน้อยการลงทุนดังกล่าวก็จะมีความเสี่ยงขาลงค่อนข้างจำกัดพอสมควร

 

4) มองข้ามความผันผวนระยะสั้นด้วยการลงทุนแบบ Thematic แม้เศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีแนวโน้มชะลอตัว ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ในระยะปานกลางและระยะยาว ยังมีหลายภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่สามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างยั่งยืนได้ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมในกลุ่ม ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะธีม Renewable Energy & Decarbonization

 

"กลยุทธ์การลงทุนรายสินทรัพย์ในช่วงไตรมาสที่ 3 SCB CIO มีมุมมอง Neutral สำหรับการลงทุนในหุ้น  ทั้งกลุ่มตลาดหุ้น Develop markets  มีมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผลประกอบการยังฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ได้รับผลกระทบหลักจากเรื่องของเงินเฟ้อและการเร่งตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร คงมุมมองหุ้นยูโรปเป็น Slightly negative จากผลกระทบยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป หากลงทุนพวกนี้ แนะนำให้มองระยะไกลๆเลย น่จะได้โอกาสผลตอบแทน out perform ตลาดได้ดี พวก Thematic จะนำผ่านมรสุมได้"นายศรชัยกล่าว 

 

สำหรับกลุ่ม Emerging markets  คงมุมมอง Slightly positive ต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนหลังมีการทยอยเปิดเมืองและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศอื่นๆ ส่วน หุ้นไทย และ เวียดนาม เรามีมุมมอง Slightly positive เนื่องจากแม้จะได้อานิสงค์จากการเปิดเมืองเปิดประเทศ แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี ผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในไทยและเวียดนาม รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น และปรับ Asian REITs เป็น Neutral เนื่องจากผลกระทบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น  

 

"นอกจากนี้  การจัดการด้านความเสี่ยงของเงินเฟ้อ เราปรับสินค้าโภคภัณฑ์เป็น Positive โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร ซึ่งอุปทานมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่องจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการห้ามส่งออกอาหารในหลายประเทศ ในขณะที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงแต่การปรับตัวขึ้นต่อน่าจะถูกกระทบจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย   สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทย เนื่องจากเงินเฟ้อไทยไม่ได้ขึ้นรุนแรงเหมือนต่างประเทศ  เนื่องจาก่เงินเฟ้อไทยที่สูง แต่มาจากด้าน Supply คือ ราคาน้ำมันที่สูงและค่าครองชีพ แต่เชื่อว่าหากราคาน้ำมันเริ่มลดลจากการเพิ่มกำลังผลิตได้ น่าจะช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อไทยลงได้ เราคาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งธปท.ก็ต้องประเมินผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือนคนไทยที่มีสูงด้วย จึงน่าจะเป็นแบบขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เหมือนต่างประเทศ ส่วนเงินเไหลออก หากขึ้นดอกเบี้ยช้าก็อาจทำให้เกิดเงินไหลออกได้ แต่ประเทศไทยมีฐานะการเงินแข็งแกร่งทั้งทุนสำรองสูง หนี้ต่างประเทศต่ำ หนี้สาธารณะที่เป็นเงินบาท"

 

5) การนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Enhancing return) เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่ SCB CIO พร้อมนำเสนอเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยการนำสินทรัพย์การลงทุนไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์หรือหน่วยลงทุนที่มีอยู่แล้วมาเป็นหลักประกันในการทำ Lombard loan เพื่อนำไปลงทุนต่อยอดเสริมผลตอบแทนในระยะข้างหน้า โดยดอกเบี้ยกู้อยู่ที่ราว 2.5%-4% ขึ้นกับคุณภาพหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเมื่อนำเงินกู้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ก็มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ราว 5-6%  เท่ากับได้ส่วนต่างผลตอบแทนตรงนี้กลับมาเป็นกำไร  กลยุทธนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีที่ดิน อาคารสำนักงาน นำมาทำ  Property Back Loan จะเป็นการสร้างผลตอบแทนการลงทุนให้พอร์ตได้ 

 

" การลงทุนกระจายความเสี่ยงและกระจายลงทุนทั้ง 5 กลยุทธ์ จะช่วยทำให้พอร์ตมีความแข็งแกร่งขึ้น และผ่านวิกฤตที่ยืดเยื้อเวลานี้ได้"นายศรชัยกล่าว

 

@ส่องตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 ต่ำสุด

 

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ประเมิน แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี   2565   โดยภาพรวม คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ ประมาณ  3.4% จากอานิสงส์การเปิดประเทศ แม้ว่าการบริโภคในประเทศอาจจะมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยในกรณีที่แย่สุด (worse case) คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 2.9 %  ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปีนี้  คาดว่ายังไม่สดใส โดยได้รับผลกระทบจาก sentiment  ด้านลบของตลาดหุ้นสหรัฐฯ  และจีน อย่างไรก็ตาม  ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องจากแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนในภาพรวมยังมีการเติบโตได้จากอนิสงส์ของการเปิดประเทศ ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านลบจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีสัดส่วนในตลาดไม่มาก    

 

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  (SET ) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ  (MAI )  ในไตรมาส 1 / 2565  มีกำไรสุทธิรวม 2.84 แสนล้านบาท  เพิ่มขึ้น 11 % YoY กลุ่มที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่  กลุ่มพาณิชย์  28 %   กลุ่มธนาคาร 14%  กลุ่มพลังงาน และ กลุ่มปิโตรเคมี 15% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 14 %  กลุ่มการแพทย์  331% และ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  46%  ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิลดลง ได้แก่ กลุ่มเกษตร  - 54%  กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์  - 4%  กลุ่มประกัน -78%  และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ - 4%

 

"แนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน อาจไม่แรง เรามองว่าน่าจะทรงๆตัวเท่าไตรมาสแรก แต่จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน"นายสุกิจกล่าว 

 

SCBS มองว่า ปัจจัยพื้นฐานของ SET  ในปี  2565 -2566  ยังคงดี  โดยคาดว่า  Earnings Per  Share (EPS)  เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10 % ต่อปี กลุ่มที่ EPS ฟื้นตัวไปที่ระดับก่อนเกิดโควิด  ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี   กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น    ซึ่ง  SCBS ได้ประเมินกรอบ SET Index ในระดับคงเดิม ที่  1,550 -1,750 จุด  และประเมินเป้าหมายของ SET Index ปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด  โดยมองว่า SET Index จะไม่ลดลงแรงเหมือนช่วงโควิด  เนื่องจากผลกระทบต่อกำไรไม่แรงเท่าช่วงที่ผ่านมา

 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในครึ่งหลังของปี   2565   ได้แก่  1) ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบโดยจะกระทบกลุ่มขนส่ง และวัสดุก่อสร้าง 2) การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)  อาจจะกระทบ กลุ่มท่องเที่ยว   อาหาร  พาณิชย์  และโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 /2565 เนื่องจาก ผ่านช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรง     จีนเริ่มคุมสถานการณ์โควิดในประเทศได้  แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนชัดเจน  ตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนความเสี่ยงอื่นๆที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างชาติ   การเปิดประเทศของจีนที่ล่าช้า  และสงครามรัสเซีย -ยูเครน

 

“เราใช้วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นตามพื้นฐานและการเติบโตของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ( Bottom-up approach ) โดยเราประเมินราคาเป้าหมายของ SET Index อยู่ที่ 1,650 จุด  จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน  โดยกลุ่มที่มองว่ามี Upside  เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่  กลุ่มธนาคาร  กลุ่มสื่อสาร  กลุ่มอาหาร  ส่วนกลุ่มที่มี Downside  ได้แก่ กลุ่มขนส่ง การแพทย์  ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  อสังหาริมทรัพย์ และท่องเที่ยว   เราใช้ Bear case valuation   เป็นจุดเข้าซื้อที่สำคัญ โดยให้  Margin of safety ที่ 5% จากระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า 1,600 จุด เรามองกรอบ SET Index  อยู่ที่ 1,550 – 1,750 จุด ” นายสุกิจ กล่าว


@ SCB Wealth ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้า ดัน AUM ปีนี้โต 5%

 

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่าในภาวะที่ตลาดผันผวน SCB ให้ความสำคัญในการดูแลลูกค้าและให้คำปรึกษาแบบครบวงจร โดยเน้นในเรื่องการสรรหาผลิตภัณฑ์และการจัดพอร์ต Asset Allocation ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงภาวะของการลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า แม้ว่าปัจจุบันตลาดการลงทุนเผชิญกับความท้าทายและความผันผวนสูงจากหลายปัจจัยของโลกทั้งภาวะสงครามรัสเซียและยูเครน ราคาน้ำมันสูง รวมถึงปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เป้นคอขวด ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธนาคารกลางของประเทศหลักๆ ต้องใช้นโยบายการเงินตึงตัวทั้งขึ้นดอกเบี้ยและดูดสภาพคล่องผ่านมาตรการ QT ทำให้เกิดความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวและอาจเกิดภาวะถดถอยในระยะข้างหน้า  อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตย่อมมีโอกาสการลงทุนเสมอ

 

"แม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วง Sideway แต่เราก็มีโปรดักส์ให้เลือกลงทุนค่อนข้างมากจากความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้  เช่น ตราสารอนุพันธ์แฝง หรือหุ้นนอกตลาด การลงทุนในรูปแบบอื่นๆ อาทิ Property Back Loan " ดร.ยรรยงกล่าว 

 

สำหรับเป้าหมายการขยายฐานลูกค้า Wealth จากต้นปี 2565 มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเงินลงทุน (AUM) อยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ราว 5% และเป้าหมายตามแผนระยะยาว 3 ปีข้างหน้า(ปี 2565-2567) คาด AUM แตะระดับ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมาจากการขยายฐานลูกค้า โดยเราจะให้บริการ digital Platform ผ่านแอปพลิเคชั่น Easy Invest ที่เชื่อมโยงการลงทุนตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าภายใต้บริษัทในเครือธนาคารแม่ โดยเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young affluent) ที่มีการเติบโตค่อนข้างดี ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มนี้ 6.2 แสนรายภายในสิ้นปีนี้ และปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 1.3 ล้านราย  นอกจากนี้ยังเน้นการให้บริการเชิงคุณภาพของเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ (RM)  ซึ่งมีจำนวน 900 คน โดยส่วนใหญ่ 80% จะมีใบอนุญาตแนะนำการลงทุนสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนได้ในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที 


รวมทั้งมีทีมงานที่ปรึกษาทางการลงทุน ที่เป็นคลังสมองแนะนำการลงทุน ที่ได้ผนึกกำลังกับ บล. ไทยพาณิชย์ และบลจ.ไทยพาณิชย ที่จะมีผลิตภะณฑ์การลงทุนที่ครอบคลุมตอบโจทย์ทุกความต้องการลงทุนของลูกค้าทุกกลุ่ม

 

สำหรับ SCB WEALTH ในวันนี้ ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบ SCB WEALTH HOLISTIC EXPERTS หลังจากโควิด-19 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นำทีมโดย SCB WEALTH ADVISORY TEAM ที่พร้อมจะดูแลต่อยอดความมั่งคั่งให้กับลูกค้า Wealth ในประเทศไทย
 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com