แนวโน้มตลาดวันนี้ (1 ต.ค.) บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์/พักตัว รัฐบาลเริ่มกระตุ้นการบริโภคหลัง ครม. เห็นชอบการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ครั้งละ 850 บาท ส่วนโครงการคนละครึ่งพลัสจะเข้า ครม. สัปดาห์หน้า ทางเทคนิค ตลาดยังไม่สามารถยืนเหนือแนวต้าน 1290-1293 กลับมาปรับตัวลงหลุดต่ำกว่าแนวรับแรกที่ 1278 หากลงหลุดต่ำกว่าแนวรับสองที่ 1268 อีกจะเป็นการแกว่งตัวลงรอบใหม่มีแนวรับถัดไปที่ 1260
ประเด็นสำคัญ
• รมว. คลังเผยแนวคิดนโยบาย ศก. “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” มุ่งเน้น 5 เสาหลัก คือ การกระตุ้น ศก. และการท่องเที่ยว, การแก้หนี้ครัวเรือน, การเสริมสภาพคล่อง SMEs, การเพิ่มการออม และการสร้างอุตฯ อนาคต ภายใต้งบกระตุ้น ศก. และงบกลาง รวม 4.4 หมื่นลบ. โดยไม่กู้เพิ่ม และตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น GDP 4Q68 ต้องสูงกว่าที่คาดไว้ 0.3%, หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ต้องต่ำกว่า 87% จาก 87.4%
• รมว. พาณิชย์เผยจะเร่งสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าต่างประเทศ (ART) ภายในสิ้นปี 2568 และกำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานเดียวที่ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า และจะเร่งบรรลุข้อตกลง FTA กับ EU และเกาหลีใต้ และหาตลาดส่งออกใหม่ใน ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, อาเซียน และเอเชียใต้
• ครม. เห็นชอบใช้วงเงิน 2.2 หมื่นลบ. เติมเงินบัตรสวัสดิการเพิ่มเติม 13.4 ล้านคนอีก 1,700 บาท/คน โดยจะจ่ายเพิ่มเดือนละ 850 บาท ใน พ.ย. และ ธ.ค. 2568 หนุนกำลังซื้อ บวกต่อกลุ่มค้าปลีก เครื่องดื่ม ไฟแนนซ์
• ครม. เห็นชอบขยายมาตรการค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายสำหรับสายสีม่วงและแดงถึงวันที่ 30 พ.ย. 2568 และมอบหมายกระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางที่ยั่งยืนในการลดค่าเดินทางและไม่เป็นภาระคลังใน 2 เดือน
• สศอ. เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม MPI ส.ค. 2568 ลดลง 4.2%YoY สู่ 92.13 กดดันจากเงินบาทที่แข็งค่ากระทบความสามารถการแข่งขันการส่งออก ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) อยู่ที่ 57.19%
• ทำเนียบขาวเผยแผนโครงการ “TrumpRx” ขายยารักษาโรคผ่านเว็ปไซด์แก่ชาวอเมริกันโดยตรงในราคาพิเศษ ด้าน ปธน. ทรัมป์ประกาศบริษัทยา Pfizer (PFE.US) จะเป็นบริษัทยาเจ้าแรกที่เข้ารวมโครงการ และคาดว่าอีกหลายบริษัทจะทยอยร่วมโครงการ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1260-1300 จุด โดยปัจจัยในประเทศติดตามการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุน ส่วนปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ PMI จีนและสหรัฐฯ รวมทั้งตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าตัวเลขจะออกมาไม่ได้แย่กว่าที่ตลาดกังวล ทำให้ไม่กดดันตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่หากอ่อนแอมากขึ้น คาดจะทำให้ตลาดมีคาดหวังมากขึ้นต่อการเร่งปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในระยะถัดไป ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily Top Picks
BCPG: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลง อีกทั้งกำไรปกติ 2H68 คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี จากการปรับตัวขึ้นมากของ Capacity Payment ในสหรัฐฯ และการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่หลายโครงการ ประเมินราคาเป้าหมายระยะสั้น 8.70 บาท
BJC: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากอานิสงส์นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและการท่องเที่ยว อาทิ คนละครึ่งพลัสและท่องเที่ยวเมืองรอง ปี 2568 คาดกำไรจะเติบโต 7%YoY และเติบโตต่อ 10%YoY ในปี 2569 อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง ซื้อขายที่ PER 68F ที่ 16.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่า -2SD ประเมินราคาเป้าหมายระยะสั้น 21.00 บาท