GULF คาดปี 2565 รายได้โต 60% หลังจากเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โครงการใหม่ - และรับรู้กำไรจากการถือหุ้นใน INTUCH วางงบลงทุน 10 ปีข้างหน้า 7.4 หมื่นล้านบาท
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF เปิดเผยผลการดำเนินปีหน้าว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 65 จะเติบโต 60% จากปีนี้ จากการเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)โครงการใหม่ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC กำลังการผลิตรวม 1,325 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนด COD หน่วยผลิตที่ 3 กำลังการผลิต 662.5 เมกะวัตต์ ในวันที่ 31 เม.ย.2565 และหน่วยผลิตที่ 4 กำลังการผลิต 662.5 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 ต.ค.2565 รวมถึงจะทยอย COD โซลาร์รูฟท็อป อีก 90 เมกะวัตต์
รวมทั้ง รับรู้รายได้และกำไรของโรงไฟฟ้าศรีราชา GSRC หน่วยผลิตที่ 1 และ 2 กำลังการผลิตรวม 1,325 เมกะวัตต์ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโครงการ DIPWP ประเทศโอมาน เฟส 1 กำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH)ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 42.25% เข้ามาเต็มปีเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการพลังงานหมุนเวียน ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม ยุโรป หรือเอเชีย หากมีความชัดเจนในการลงทุน ก็จะเข้ามาต่อยอดรายได้ในอนาคต ซึ่งมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์รูฟท็อป, ลม, ไบโอแมส และน้ำ ให้มากกว่า 30% ในปี 2573 จากปัจจุบันอยู่ที่ 7-10%
พร้อมกันนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนรวมระยะ 10 ปีข้างหน้า (2565-2574) ไว้ที่ 74,000 ล้านบาท รองรับการดำเนินงานโครงการที่มีอยู่แล้ว ไม่รวมการเข้าซื้อกิจการ แบ่งเป็น ธุรกิจ Renewable ราว 62% หรือคิดเป็นวงเงินรวม 46,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ประเทศเวียดนาม, Gulf1 projects และ Hydropower projects ธุรกิจ Gas-fired Power Generation ราว 23% คิดเป็นเงิน 17,000 ล้านบาท รองรับโครงการ GSRC & GPD, โรงไฟฟ้าหินกอง , โรงไฟฟ้าบูรพา พาวเวอร์ และโครงการ DIPWP ประเทศโอมาน ส่วนที่เหลืออีก 15% คิดเป็นเงิน 11,000 ล้านบาท จะใช้ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ในโครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะ 3, โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (MTP3) และโครงการมอเตอร์เวย์ ระหว่างเมืองสาย M6 และ M 81
สำหรับแหล่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ และเงินกู้จากสถาบันการเงิน รวมถึงการออกหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะดำเนินการออกหุ้นกู้ ในวงเงินราว 20,000 ล้านบาท ในช่วงต้นปี 65 เพื่อใช้คืนเงินกู้ซื้อหุ้น INTUCH และรองรับขยายกิจการ
หากแบ่งเฉพาะปี 65 บริษัทฯ วางงบลงทุนไว้ที่ 10,000 ล้านบาท (ไม่รวม M&A) เพื่อรองรับการดำเนินโครงการที่มีอยู่ ขณะที่การทำ M&A ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการเจรจาในหลายโครงการ มูลค่าการลงทุน 10,000-30,000 ล้านบาท คาดจะชัดเจนได้ในไตรมาส 1/65
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/64 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากโครงการโรงไฟฟ้าศรีราชา หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิต 662.5 เมกะวัตต์ ที่ COD แล้ว ในวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา, โรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ประเทศเวียดนาม เฟส 1 กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในไตรมาส 4/64, โรงไฟฟ้าก๊าซฯ DIPWP ประเทศโอมาน เฟส 1 กำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ จะ COD ในเดือนธ.ค.นี้ และโครงการโซลาร์รูฟท็อป (Gulf1 projects) กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ จะ COD ได้ในไตรมาส 4/64 นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานลม ประเทศเยอรมนี จะเป็นช่วงของไฮซีซั่น เนื่องจากลมจะค่อนข้างมาแรง ส่งผลให้มีกำลังการผลิตสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะกลับมามากขึ้น หลังเปิดประเทศ
และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน INTUCH เข้ามาในไตรมาส 4/64 ด้วย และจะมีการเซ็นสัญญา PPP แหลมฉบัง ระยะ 3 กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.64) ซึ่งหลังจากนี้ทางการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)ก็จะเป็นผู้ดำเนินการถมทะเล คาดใช้ระยะเวลา 2 ปี โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการ Terminal F1 ในปี 68 และ Terminal F2 ในปี 72
นอกจากนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนปากแบง กำลังการผลิต 91 เมกะวัตต์ และโครงการปากลาย กำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์ ที่สปป.ลาว คาดว่าจะเซ็น MOU Tariff กับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ในเดือนธ.ค.นี้ อย่างไรก็ดีบริษัทฯ ก็ศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าจากเขื่อนเพิ่มเติมอีก 3-5 เขื่อน
-------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1