บล.เคจีไอ วิเคราะห์กลุ่มธนาคารท่ามกลางความท้าทายดอกเบี้ยขาขึ้น ให้น้ำหนักการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับจัดการได้ KTB โดดเด่น ขณะที่ หุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่าง KBANK และ KKP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
บล.เคจีไอ ออกบทวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร ระบุการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการดำเนินงานของธุรกิจธนาคารอาจจะไม่ราบรื่น ขึ้นอยู่กับจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เราคิดว่า ธนาคารที่คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดีอย่างเช่น KTB และ BBL จะผันผวนน้อยกว่า ในขณะที่ KBANK เปราะบางมากกว่า เราขยับราคาเป้าหมายโดยอิงจากประมาณการกำไรปี 66 โดยใช้สมมติฐานอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยของกลุ่มในปี 65/66 ที่ปีละ 13% คาดว่า จังหวะการขึ้นดอกเบี้ยจะค่อยเป็นค่อยไป และคุณภาพสินทรัพย์จะยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เรายังคงให้น้ำหนักกลุ่มธนาคารที่ Overweight โดยเราเลือกธนาคารที่มีคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดีอย่าง KTB และหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่าง KBANK และ KKP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
บล.เคจีไอ มองว่า เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากการฟื้นตัวรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มธนาคารในแง่ของการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดย กบง. มีโอกาสจะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในการประชุมเดือนกันยายน และอาจจะขึ้นอีก 25 bps ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยในจังหวะปานกลางแบบนี้จะช่วยธนาคารในการบริหารจัดการต้นทุนประกันเงินฝากที่จะขยับกลับขึ้นไประดับปกติที่ 0.46% หลังจากช่วงที่ลดอัตราประกันเงินฝากลงครึ่งหนึ่งเหลือ 0.23% สิ้นสุดลงในปลายปีนี้ ทั้งนี้ ธนาคารส่วนใหญ่เตรียมพร้อมในการบริหาร คชจ.ส่วนนี้ โดยธนาคารได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินกู้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และเงินกู้ในตลาดเงินไปแล้ว ซึ่งทำให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นใน 2Q65
ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ธนาคารต่าง ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเปราะบางได้ หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วเกินไปที่จะเป็นผลลบกับลูกหนี้และธนาคาร ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการปรับชึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 bps ในช่วงที่เหลือของปีนี้ (ขึ้นดอกเบี้ยรวม 50 bps ในปี 65) ธนาคารต่างๆ น่าจะสามารถบริหารจัดการต้นทุนประกันเงินฝากที่เพิ่มขึ้นได้ง่าย โดยไม่กระทบ NIM แต่หากมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 50 bps (ขึ้นดอกเบี้ยรวม 75 bps ในปี 65) และยังเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกในปีหน้า เราคาดว่า จะทำให้การฟื้นตัวของธนาคารไม่ราบรื่น แต่น่าจะยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
คุณภาพสินทรัพย์ของ KTB และ BBL อยู่ในเกณฑ์ดี : หลังโครงการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาจากโควิดสิ้นสุดลงเมื่อปลายปี 64 ธนาคารส่วนใหญ่ยังสามารถรักษาระดับ NPL ให้ทรงตัวอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม NPL ในปัจจุบันอาจจะยังไม่สะท้อนสถานการณ์หนี้เสียที่แท้จริง เพราะรายได้ดอกเบี้ยค้างรับยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่า ยังมีหนี้ผิดนัดชำระจำนวนมากอยู่ในบัญชีของธนาคาร และหนี้นี้ยังไม่ถูกบันทึกเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งนี้ KKP มีสัดส่วนดอกเบี้ยค้างรับ/สินเชื่อสูงที่สุดที่ 2.8% รองลงมา คือ TISCO 0.8% KTB 0.8% และ KBANK 0.6% อย่างไรก็ตาม สัดส่วน LLR/สินเชื่อของ KTB และ BBL สูงที่สุดในกลุ่ม
KBANK และ KKP ถือเป็นธนาคารที่จะมีอัตราการเติบโตสูงตามภาวะเศรษฐกิจ : ธนาคารอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การดำเนินการแบบหลังวิกฤติโควิดท่ามกลางความท้าทายของดอกเบี้ยขาขึ้น ทั้งนี้ จากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และราคาหุ้นที่ไม่แพง เราจึงมองว่า ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวแบบจำกัด โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เราชอบ KTB ในแง่คุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และเลือก KBANK จากความสามารถหารายได้เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่เลือก KKP จากการฟื้นตัวของรายได้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนและผลขาดทุนจากการขายรถที่ยึดมาลดลง