Market

CIMBTกำไร 1,054 ล้าน พุ่ง 71% เหตุควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี -ตั้งสำรองลดลง
21 ก.ค. 2565

ซีไอเอ็มบี ไทย ผลการดำเนินงานแกร่ง ไตรมาส 2 กำไร  1,054.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.89% ส่วนงวด ครึ่งปีแรก กำไร 2,115.50 ล้านบาท   เพิ่มขึ้น 121.6% เหตุคุมค่าใช้จ่ายและตั้งสำรองลด
 

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิ 1,054.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.89% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 613.44 ล้านบาท

 

ส่วนงวดรึ่งปีแรก มีกำไร 2,115.50 ล้านบาท   เพิ่มขึ้น 121.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 954.76 ล้านบาท

 

กำไรที่เพิ่มขึ้น สาเหตุหลักเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานงวด 6 เดือน ลดลงร้อยละ 7.4 และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 63.7 ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 1.3 

 

รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดหกเดือนปี 2565 มีจำนวน 7,105.7 ล้านบาท ลดลงจำนวน 94.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 417.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เพิ่มขึ้นจำนวน 178.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.7 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย รายได้อื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 143.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.9 ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและรายได้อื่น สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของขาดทุนจากเงินลงทุน

 

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนปี 2565 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 ลดลงจำนวน 229.7 ล้านบาทหรือร้อยละ 7.4 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 52.8 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 56.3 

 

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin - NIM) สำหรับงวดหกเดือนปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ

 

วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 220.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 282.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 จากสิ้นปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 239.5 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 77.8 จากร้อยละ 88.5 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564


สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 7.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ ร้อยละ 3.3 ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.7 สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในงวดหกเดือนปี 2565 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้ 

 

อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 114.3 ลดลงจากสิ้นปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 17.5 ด่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 7.7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท

 

เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีจำนวน 53.8 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.6 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 15.7

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com