โบรกฯ คาด BAM กำไรไตรมาส 3 โตกว่า 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับลดลง 35.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังเศรษฐกิจชะลอตัว รอฟื้นตัวในไตรมาส 4
บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM หนึ่งในหุ้นไฟแนนซ์ที่มีความน่าสนใจ จากทิศทางธุรกิจที่ฟื้นตัวขึ้น และยังได้ประโยชน์จากแนวโน้ม NPL ของสถาบันการเงินที่จะทยอยสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายด้วย PBV ต่ำเพียง 1.5% ต่ำกว่าคู่แข่ง
บล.หยวนต้า มองว่า กำไรสุทธิของ BAM ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีฐานที่ต่ำเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอการชำระหนี้ของลูกหนี้ NPL และการขยายเวลาพิจารณาซื้อ NPA ในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19
แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คาดกำไรสุทธิปรับลดลง 35.6% หลังถูกกดดันจาก 1) รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวลง 6% จากไตรมาสก่อน หลังคาดการจัดเก็บเงินสดจากลูกหนี้ NPL ปรับโครงสร้างจะชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางเดือนเม.ย. รวมถึงการผ่อนผันและการปรับลดค่างวดให้กับลูกหนี้บางส่วน และ 2) คาดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับลง 19.7% จากกไตรมาสก่อน เนื่องจากมีการรับรู้กำไรจากการขายผ่อนชำระทรัพย์ NPA จำนวนกว่า 450 ล้านบาท ที่ขายไปตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปีก่อน ทำให้ฐานกำไรสูงผิดปกติ ในขณะที่ไตรมาส 3 ปีนี้ คาดเริ่มเห็นกำไรจากการขาย NPA ผ่อนชำระกับ BAM มากขึ้น ตามกลยุทธ์เพิ่มทางเลือกในการชำระค่าทรัพย์ให้กับลูกค้า
อย่างไรก็ดี คาดยอดขาย NPA ปรับลงจากภาวะตลาดที่ยังไม่เอื้ออำนวย ส่วนกำไรจาการชำระบัญชีของลูกหนี้ NPL คาดปรับลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากการปิดกรมบังคับคดีในเดือนก.ค.-ส.ค. ทั้งนี้ คาดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับลง 4.2% จากไตรมาสก่อน หลังบริษัทมีนโยบายคุมค่าใช้จ่าย รวมถึงเลื่อนกิจกรรมทางการตลาดไปจัดในช่วงไตรมาส 4 แทน
บล.หยวนต้า คาดว่า กำไรสุทธิของ BAM จะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 นี้ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของปีที่จะมีลูกหนี้ NPL เข้ามาขอชำระเงินเพื่อปิดบัญชีมากกว่าปกติ รวมถึงการเร่งระบายสต็อก NPA และการอัดฉีดโปรโมชั่นผ่านทั้งช่องทาง Offline และ Online Channel รวมถึงสถานการณ์ในประเทศที่เริ่มถูกปลดล็อคมากขึ้น คาดช่วยหนุนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเร่งตัวขึ้น นอกจากนี้ คาดมีแรงหนุนจากการกลับมาเปิดดำเนินงานของกรมบังคับคดีตั้งแต่เดือนก.ย. ทำให้กระบวนการด้านเอกสารสามารถดำเนินได้ตามปกติ ส่งผลต่อการรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์ของหนี้ NPL คาด BAM มีกำไรสุทธิในปีที่ 2,122 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท แนะนำให้ “ซื้อ”
ด้าน บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง มองว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของ BAM เท่ากับ 504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับลดลง 36% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการชะลอตัวจากฝั่งธุรกิจ NPL และผลกระทบจากกการปิดกรมบังคับคดี รวมถึงความสามารถในการชำระของลูกหนี้ลดลงเนื่องจากการล็อคดาวน์ ทำให้ระยะสั้นกำไรสุทธิอาจจะชะลอตัวลงตามปัจจัยภายนอก แต่กระบวนการติดตามหนี้-การขายทรัพย์ ยังทำได้ดี สะท้อนถึงอุปสงค์ที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และผลลัพธ์จากการปรับกลยุทธ์ที่ทำให้การหมุนสินทรัพย์เร็วขึ้น ทำให้ผลประกอบการในปี 2564 ยังสามารถทำได้ตามเป้า เช่นเดียวกับกำไรสุทธิ-กระแสเงินสดที่ฟื้นตัว สะท้อนมายังอัตราปันผลที่กลับมายืนระดับ 4% ได้ใน 12 เดือนข้างหน้า พร้อมปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 20 บาท และแนะนำ “ถือ”
-----------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1