"กรุงเทพธนาคม" แจง หนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 1-2 จำนวน 5 หมื่นล้าน ที่ BTSC ทวง เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะสัญญาจัดจ้าง เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หนี้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หลังจากนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท BTSC แถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลชำระหนี้ให้แก่ BTSC จำนวน 5 หมื่นล้านบาท โดยระบุว่าตั้งแต่ นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ มาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่เคยได้รับชำระหนี้ แม้ศาลจะมีคำสั่งให้กรุงเทพมหานคร และ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ชำระหนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการชำระหนี้ จนทำให้หนี้เพิ่มเป็น 5หมื่นล้านบาท
รายงานข่าวจากบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด คู่สัญญา ซึ่งเป็นผู้ลงนามสัญญาจ้าง BTSC ได้ชี้แจงถึงกรณีนี้ว่า ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ได้มีมติอนุมัติให้ทนายความตัวแทนของบริษัทฯ เข้ายื่นคำให้การต่อศาลปกครองในคดีที่ 2 ซึ่งบริษัทบีทีเอสยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม.) และกรุงเทพธนาคม เพื่อให้ชำระหนี้ค่าเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายเป็นจำนวนเงิน 10,600 ล้านบาท โดยศาลปกครองจะส่งสำเนาคำให้การของกรุงเทพธนาคมไปให้บีทีเอสเร็วๆ นี้ ตามขั้นตอนแสวงหาข้อเท็จจริงเหตุผลหักล้างกันต่อไป
โดยมีสาระสำคัญคือ สัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 เป็นสัญญาที่ทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ไม่มีอำนาจทำสัญญาจ้าง แม้ว่ากรุงเทพมหานคร จะมอบให้เป็นตัวแทน ก็ตาม เนื่องจาก 1. กรุงเทพมหานคร และ บริษัทกรุงเทพธนาคม ยังไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ดำเนินการได้ และ 2. การจัดทำสัญญาจ้าง ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภากรุงเทพมหานคร
“เมื่อสัญญาจัดจ้าง เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หนี้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง มีการนำเสนอข้อมูล และเอกสารต่างๆ ต่อศาลเพิ่มขึ้น รวมทั้งเสนอให้นำเอกสารที่ยังไม่เคยเสนอต่อศาลปกครองกลาง เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคดีแรก ด้วย เชื่อว่าศาลปกครองสูงสุด จะพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับบริษัท”
สำหรับการยื่นคำให้การครั้งนี้มีประเด็นสำคัญที่บริษัทฯ ได้นำเรียนให้ศาลเห็นถึงข้อเท็จจริงในการจัดทำสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้
1. สัญญาระหว่างบริษัทฯ กับบีทีเอสนั้น นำมาสู่ข้อพิพาทระหว่างบริษัทเอกชนด้วยกัน ไม่ได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
2. บริษัทฯ ไม่มีอำนาจเข้าทำสัญญาว่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง เพราะตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ลงวันที่ 25 ม.ค.2515 ในข้อ 4 ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกิจการรถราง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มท.) เท่านั้น เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้บุคคลใดประกอบกิจการได้ ทั้งนี้บริษัทฯ ก็ไม่เคยได้รับการอนุญาตจาก รมว.มท.
3. สัญญาจ้างที่บริษัทฯ กระทำกับบีทีเอสเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ เพราะจงใจจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์แห่งสัญญาที่ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ อาทิเช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุฯ เรื่องการงบประมาณ ตลอดจนพ.ร.บ.ร่วมทุน ซึ่งตามหลักกฎหมายนั้น ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน กล่าวคือบริษัทฯ ไม่มีอำนาจนำเอางานที่รับจ้างกรุงเทพมหานครไปทำสัญญาจ้างกับบุคคลอื่นตามอำเภอใจได้
4. การที่บริษัทฯ ไปทำสัญญาว่าจ้างบีทีเอสให้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยตรง โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่นที่อาจเสนอตัวเข้าร่วมโครงการ ย่อมส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะและขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนอีกด้วย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ
5. การฟ้องคดีของบีทีเอสในคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะบีทีเอสทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ได้ด้วยตนเอง แต่บีทีเอสยังสมัครใจเข้าทำสัญญากับบริษัทฯ ซึ่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าทำสัญญาได้ แล้วจึงกลับมาฟ้องบริษัท กรุงเทพธนาคม เป็นคดีนี้ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
นายประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยด้วยว่า คำให้การในคดีที่ 2 นี้ มีความสมบูรณ์กว่าในคดีแรก ซึ่งศาลได้ปิดสำนวนไปในช่วงที่ผู้บริหารกรุงเทพธนาคมชุดนี้เข้ามาทำหน้าที่เร่งหาข้อเท็จจริงเพียง 2 เดือน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ว่า บีทีเอสจะฟ้องคดีใหม่มาอีก จึงได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบเอกสาร รวบรวมข้อเท็จจริงเชิงลึกโครงการกว่า 30 ปี ตลอดจนข้อกฎหมายที่รอบด้านกว่าคดีแรกอย่างมีนัยสำคัญ