Market

SCGP เปิด Q 2 กำไร 1 พันล้าน  ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล  0.25บาท/หุ้น  เผยครึ่งปีหลัง ลุยขายในตลาดอาเซียนต่อหลังครึ่งปีแรกเติบโตดี
29 ก.ค. 2568

SCGP ไตรมาส 2/2568 ทำรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท EBITDA 4,257  ล้านบาท และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท จากกลยุทธ์มุ่งขายในประเทศอาเซียน รับแรงหนุนจากการใช้บรรจุภัณฑ์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลร่วมกับการใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนยกระดับความยั่งยืน เดินแผนรับเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เสริมแกร่งโซลูชันบรรจุภัณฑ์เพื่อมอบประสบการณ์และคุณค่าแก่ลูกค้า รับดีมานด์ในภูมิภาคที่เติบโตต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์เชิงรุก “ห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น” รับมือนโยบายภาษีและเร่งปรับเร็วผ่านทีมบริหารระดับภูมิภาค (Regional Management) ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.25บาท/หุ้น

 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ผบดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 EBITDA 4,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568 

 

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยจะขึ้น XD วันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลวันที่ 27 สิงหาคม 2568

 

สำหรับเป้าหมายของปีนี้ SCGP ยังคงเป้าหมาย EBITDA อยู่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดขายเชื่อว่ายังมีปริมาณขายเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายอาจลดลง ส่วนผลกระทบภาษีฯสหรัฐ ที่ไทยถูกเก็บ  25% จริฃๆก็ไม่ได้แย่มากและเมื่อมีความชัดเจนออกมาแล้ว ก็ทำให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ 

 

“ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ภูมิภาคอาเซียนในไตรมาส 2 ปี 2568 ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ ยังอยู่ในระดับสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการเร่งส่งออกสินค้าของประเทศต่าง ๆ ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อนถึงกำหนดการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่เติบโตต่อเนื่อง SCGP  ได้วางกลยุทธ์เติบโตภายในประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการตลาดเชิงรุกผ่านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ส่งผลให้ปริมาณการขายสินค้ากลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยเฉพาะในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ราคาส่วนใหญ่ยังทรงตัว ส่วนกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษ ปริมาณการขายลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ”

 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะธุรกิจในอินโดนีเซียที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้ และปรับสัดส่วนการใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ภายในประเทศ และบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ถึงจุดคุ้มทุนตามเป้าหมาย และส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ 

 

สำหรับครึ่งปีหลัง นายวิชาญ คาดว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนจะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและคาดการณ์จีดีพีเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงการเติมสต๊อกสินค้าในช่วงสิ้นปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่ง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) จากประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป

 

บริษัทฯ ได้เดินหน้ากลยุทธ์ขยายธุรกิจในกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตสูง ล่าสุด ได้ลงทุนเพิ่มใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ประเทศเวียดนามเพื่อเพิ่มโซลูชัน ความหลากหลายและครบวงจร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดอาเซียนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เร่งขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคตามกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินธุรกิจในเวียดนามที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาค และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและการแข่งขันในระยะยาว

 

ด้านการรับมือมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) ปัจจุบันSCGP มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 4 ของรายได้รวม ผ่านการส่งออกสินค้าเพื่อผู้บริโภค ทำให้มีผลกระทบจำกัด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกเพิ่มการขายบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย เป็นต้น พร้อมใช้จุดแข็งจากห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น ฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ครอบคลุมพอร์ตสินค้าและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ที่สามารถผสานการผลิตและวัตถุดิบ รวมถึงวางแผนร่วมกับลูกค้าและการพิจารณาการจ้างผลิต เพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ในแต่ละตลาด

 

SCGP เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบ AI อย่างเป็นระบบ ยกระดับประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่การผลิต ลดต้นทุน และเสริมความยั่งยืนระยะยาว โดยใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น Robotic Automation ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการผลิต การประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ และบริหารการผลิตระหว่างโรงงาน (Cross-plant Allocation) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลด Lead Time ฯลฯ ช่วยลดต้นทุนและสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวม 120 ล้านบาทในครึ่งปีแรก

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขับเคลื่อน ESG และเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามแนวทางความยั่งยืนในระดับสากล โดยได้รับรางวัล Platinumจาก EcoVadis  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 อีกทั้งยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปแล้วกว่า 169 ผลิตภัณฑ์ และ 16 กระบวนการ หรือคิดเป็นร้อยละ 50 จากเป้าหมายครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com