Market

เปิดโผ 10 บจ.กำไรสูงสุด
25 พ.ค. 2565

เปิดโผ 10 บริษัทจดทะเบียน กำไรสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ทั้งระบบกำไรรวมกัน 2.86 แสนล้านบาท โต 7.2%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และ MAI ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2565 กันเกือบครบหมดแล้ว ซึ่งส่งงบมาแล้ว 800 บริษัท มีกำไร 612 บริษัท และขาดทุน 189 บริษัท คิดเป็นกำไรรวมกัน 2.86 แสนล้านบาท (ไม่รวมการบินไทย) ขยายตัว 7.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และโต 7.8%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า นำโดยกลุ่มธนาคาร และพลังงาน ดีกว่าที่ประเมินไว้ เหตุผลหลักๆ ที่กำไรโตดี แม้จะมีผลกระทบจากสงครามยูเครน และโควิด-19 มาจากกำไรของกลุ่มพลังงาน ที่ดีมากขึ้น

โดย 10 บริษัทที่มีกำไรสูงสุด ประกอบด้วย 

บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) มีกำไร 25,571 ล้านบาท แต่ลดลง 21.5%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) มีกำไร 14,069.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134.2%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

ธนาคารกสิกรไทย กำไร 11,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

บริษัท ปตท.สผ. มีกำไร 10,519 ล้านบาท ลดลง 8.8%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

บริษัท บ้านปู มีกำไร 10264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 569.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

ธนาคารไทยพาณิชย์ กำไร 10,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย กำไร 8,844 ล้านบาท ลดลง 40.7%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

ธนาคารกรุงไทย กำไร 8,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.4%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) กำไร 8,222.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 179.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

และธนาคารกรุงศรีอยุธยา กำไร 7,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.0%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน


เฉพาะ 10 บริษัทที่มีกำไรสูงสุด รวมกัน 115,093 ล้านบาท หรือเกือบครึ่งของกำไรบริษัทจดทะเบียนทั้งตลาดฯ 


ในมุมมองของ บล.เคทีบีเอส ได้ปรับคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2565 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 3.9% มาเป็น 1.1 ล้านล้านบาท ด้วยเหตุผลจากกำไรไตรมาส 1/65 ที่สูงเกินคาด ขณะที่ กำไรต่อหุ้น หรือ EPS ปรับขึ้นจาก 90.3 บาท เป็น 93.6 บาท


อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีฯ ปี 2565 จาก 1,783 จุด เหลือ 1,716จุด ด้วยเหตุผล คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรตลาด ในช่วงที่เหลือของปีอาจถูกกดดันด้วย สงคราม การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และคาดการณืว่ากำไรของหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันอาจไม่ต่อเนื่อง และอาจมีขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ได้เมื่อราคาน้ำมันลงในอนาคต จึงปรับลด P/E จาก 19.74 เท่า เหลือ 18.34 เท่า จึงเป็นเหตุผลจากการปรับลดเป้าหมายดัชนีจากประมาณการครั้งก่อน
 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com