เคแบงค์ เตรียมลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ผนึกกำลังกับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว” รุกแผนปั้นร้านสะดวกซื้อชุมชน “ถูกดี มีมาตรฐาน” พร้อมบริการสินเชื่อครบวงจรเจาะชุมชนรากหญ้า โดยการร่วมลงทุนของกสิกรไทยจะรวมถึงตราสารการลงทุนที่ให้สิทธิลงทุนในหุ้นของบ. ทีดี ตะวันแดง และจัดตั้งบริษัทร่วมทุนสำหรับให้บริการสินชื่อเต็มรูปแบบ ตั้งเป้าร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” 10,000 ร้าน ภายในสิ้นปีนี้ และในระยะ 3 ปี (2567) มีจำนวน 30,000 ร้าน
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมร่วมลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท กับบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว เพื่อพัฒนาร้านสะดวกซื้อชุมชน“ถูกดี มีมาตรฐาน” เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนทั่วไทย เปิดโอกาสให้คนในชุมชนที่สนใจเปิดร้านมีโอกาสเป็นเจ้าของ และทำให้คนในชุมชนได้ใช้บริการการเงินและสินเชื่อครบวงจร โดยรูปแบบการลงทุนของธนาคารในครั้งนี้ จะครอบคลุมการร่วมลงทุนผ่านตราสารการลงทุนที่ให้สิทธิลงทุนในหุ้นของบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด และเตรียมลงนามในสัญญาร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้บริการสินชื่อเต็มรูปแบบ รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว”
ความร่วมมือนี้ จะทำให้ธนาคารมีจุดบริการเคแบงก์ เซอร์วิส (KBank Service) เพิ่มขึ้นอีก 30,000 จุด จากเดิมมีจำนวนกว่า 27,000 จุด เพิ่มช่องทางการให้บริการได้ลึกถึงแหล่งชุมชนและครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน ธนาคารมีช่องทางให้บริการผ่านสาขาจำนวน 830 สาขา ตู้เอทีเอ็มและตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ รวม 11,000 ตู้ และ K PLUS ที่มีลูกค้าใช้งานกว่า 18 ล้านราย
" ชุมชนนอกตัวเมืองในจังหวัดต่างๆ เป็นพื้นที่ที่ลูกค้ามีความต้องการใช้บริการการเงิน บางส่วนไม่มีบัญชีเงินฝาก ไม่มีหลักฐานการเงินที่ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และเป็นพื้นที่ที่สาขาของธนาคารยังเข้าไม่ถึง การร่วมลงทุนกับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจ คาราบาว” เป็นยุทธศาสตร์ของธนาคารที่ตั้งใจพัฒนาร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงจรของ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ตั้งแต่เจ้าของร้าน คู่ค้า ชาวบ้านในชุมชน สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยลูกค้ารายย่อยสามารถกู้ผ่าน Digital Lending ส่วนลูกค้าธุรกิจร้านค้า สามารถขอสินเชื่อเชิงพาณิชย์ เราเชื่อว่า จะทำให้ทุกคนในชุมชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ง่ายขึ้น สร้างรายได้หมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน "นายพัชรกล่าว
ส่วนการพัฒนา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ที่ธนาคารมีแผนดำเนินการร่วมกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) ส่งเสริมศักยภาพของร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นร้านสะดวกซื้อชุมชน โดยใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการร้านและระบบการชำระเงินต่างๆ 2) เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค้าขายต่างๆ โดยธนาคารนำข้อมูลการจับจ่ายในชีวิตประจำวันมาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีหลักฐานแสดงรายได้ประจำ หรือเจ้าของร้านค้าที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนภายในร้าน และ 3)เป็นจุดให้บริการธุรกรรมการเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับคนในชุมชน เช่น บริการถอนเงิน จ่ายบิล เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มบริการดิจิทัลต่างๆ เช่น สแกนจ่ายด้วยคิวอาร์ โค้ด ซึ่งคนในชุมชน ส่วนใหญ่เริ่มคุ้นเคยแล้ว เป็นผลจากนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐในช่วงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว ได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย ในการพัฒนาร้านสะดวกซื้อชุมชน ให้เป็นร้านถูกดี มีมาตรฐาน ภายใต้แนวคิด "กินแบ่ง ไม่กินรวบ" เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจชุมชน และสร้างกำลังซื้อมากขึ้น ปัจจุบันมีร้านถูกดี ได้เปิดให้บริการกระจายทั่วประเทศแล้วกว่า 5,000 ร้าน และตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2565 จะมีร้านถูกดีเพิ่มเป็น 10,000 ร้าน
โดยมีจุดมุ่งหมายในการผลักดันให้ร้านค้าชุมชน เป็นค้าปลีกที่มีความสมัยใหม่มากขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงปัจจุบัน ร้านค้าถูกดีทั้งหมดมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดว่าในปี 2565 จะมีรายได้แตะ 20,000 ล้านบาท และปี 2566 รายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท จากการประเมินรายได้ของร้านค้า อยู่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อร้าน โดยบริษัทจะได้รับการแบ่งปันสัดส่วนรายได้จากกำไรของร้านค้าที่ 15% และอีก 85% จะเป็นส่วนของร้านค้า นอกจากนี้ ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยครั้งนี้ มีแผนการให้บริการสินเชื่อรายย่อยกับร้านค้าถูกดี ลูกค้าของร้าน และพันธมิตรของร้าน เริ่มต้นในหลัก 1,000 บาทต่อคน จำนวน 50 คนต่อร้าน ก่อนจะขยายต่อไป ซึ่งจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ในอีก 1 เดือนข้างหน้านี้
ความร่วมมือระหว่าง “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” กับธนาคารกสิกรไทย ในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างกำลังซื้อให้กับชุมชน และความแข็งแกร่งให้กับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในการให้บริการแก่ผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของร้านซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเปิดร้านรายอื่นๆ ที่จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ในอนาคต ตลอดจนซัพพลายเออร์และผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในตลาดค้าปลีกได้มากยิ่งขึ้น
“บริษัทเข้าไปช่วยในเรื่องเทคโนโลยีการบริหารจัดการร้านถูกดี ผ่านโมเดลร้านค้าชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน พัฒนาเป็นร้านสะดวกซื้อชุมชนสมัยใหม่ ที่สนิทใจลูกค้า เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และมุ่งแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย แม้ตอนนี้เศรษฐกิจในภาพรวมยังถือว่าไม่ดี เพราะกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ตกลงจากเดิม แต่จากรูปแบบธุรกิจของบริษัท ที่มีสินค้าให้เลือกจำนวนกว่าหมื่นชนิด และมีร้านสาขาที่ตั้งอยู่ใกล้ชุมชน ทำให้ยอดขายสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการเปิดร้านถูกดีได้กว่า 5,000 สาขา ถือว่าทำตามฝันได้เกิน 50% แล้ว ส่วนอีก 50% คือ ต้องเปิดร้านถูกดีให้ได้ตามเป้าที่ 10,000 ร้านค้าในปีนี้ เพื่อให้เกิดจุมคุ้มทุนของบริษัท” นายเสถียร กล่าว