กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มั่นใจครึ่งปีหลังผลดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ฝั่งแบงก์จ่อปรับเพิ่มเป้าสินเชื่อทั้งปีจากเดิมคาด 6% หลังครึ่งปีแรกสินเชื่อขยายตัวเกือบ 9% แรงส่งจากการเติบโตของลูกค้าทุกกลุ่มเช็กเม้นท์ เปิดแผนรุกสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง เน้นรุกตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล"สินเชื่อบ้าน-สินเชื่อดิจิทัล" ส่วนสินเชื่อธุรกิจอาจชะลอตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ชี้ยริการธุรกรรมเทรดไฟแนนซ์โตแรงตามฐานลูกค้าไต้หวันทั้งธุรกิจ-รายย่อย พร้อมปักธง 3 ปี เพิ่มสัดส่วนสินเชื่อลูกค้ารายย่อย-เอสเอ็มอีขึ้นมาเป็น 50% ใกล้เคียงกับลูกค้าธุรกิจรายใหย๋
นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG เปิดเผย ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ว่าภาพรวมธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยรวมถึงการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จากแนวโน้มที่ดีขึ้นของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 2,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 745 ล้านบาท
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าเป็นสถาบันการเงินที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยได้มีการปรับเปลี่ยนองค์กร ด้วย Digital Transformation และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียว รวมทั้งการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าและสังคมเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
นางสาวชมภูนุช ปฐมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลัง มีแผนจะปรับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อทั้งปี 2565 ที่วางไว้ราวร้อยละ 6 เนื่องจากผลดำเนินงานของธนาคารในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตได้ดี โดยด้านสินเชื่อเติบโตสูง 8.9% จากสิ้นปีที่แล้วซึ่งมีการเติบโตทุกกลุ่มลูกค้า (Segment) โดยสินเชื่อธุรกิจเติบโตร้อยละ 7.2 สินเชื่อรายย่อยเติบโตถึงร้อยละ 18.3 ทั้งจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการขยายตัวได้ดีของกลุ่มลูกค้าไต้หวัน ที่เติบโตถึงร้อยละ 49.8 และสินเชื่อ Trade Finance เติบโตร้อยละ 68 จากสิ้นปี 2564 สอดคล้องกับธุรกิจส่งออกและนำเข้าของไทยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง รวมกับการสนับสนุนจาก CTBC ธนาคารเอกชนอันดับ 1 ของไต้หวัน ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่ม
"ในครึ่งปีหลัง คาดว่่าสินเชื่อโดยรวมยังเติบโตดี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตดีได้แรงส่งจากภาคท่องเที่ยวที่ปีนี้ฟื้นตัวดี แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนต่างๆอยู่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซียและยูเครน ล่าสุดสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ ที่เกิดจากกรณีไต้หวัน เรามองว่าสินเชื่อรายย่อยจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง แต่สินเชื่อธุรกิจอาจชะลอตัว เรื่องของการปล่อยสินเชื่อยังต้องระมัดระวังอยู่ โดยในครึ่งปีหลัง เรายังต้องตังสำรอง Coverage Ratio ให้เพิ่มขึ้นมาราว 200% จากปัจจุบัน 196% เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจกระทบต่อด้านคุณภาพสินเชื่อและลูกหนี้ที่ยังอยุ่ในมาตรการช่วยเหลือที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ขณะที่มีนโยบายดูแล NPL ไม่ให้เกิน 2.5-2.6%ของสินเชื่อรวมด้วยจากสิ้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา NPL อยู่ที่ 2.40% " นางชมภูนุชกล่าว
สำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในรูปแบบต่างๆ ธนาคารยังคงดำเนินการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565 ของธนาคาร คงมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หลักๆ เป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิถึงร้อยละ 15.7 และรายได้จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 41.6 ด้านการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามหลักความระมัดระวังเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ และรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 196 โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ลดลงจากร้อยละ 2.44 ณ สิ้นปี 2564 เหลือร้อยละ 2.40 ณ ไตรมาส 2 ของปี 2565 สำหรับด้านเงินกองทุนยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 16.4 อยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ขณะที่หลังหักสำรองฯ ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 431 ล้านบาท
นางชมภูนุช กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจากนี้ไป จะมุ่งปรับพอร์ตสินเชื่อให้กระจายสัดส่วนมากขึ้น เน้นในธุรกิจหรือสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยมีแผนงานระยะ 3 ปี ที่จะเพิ่มสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อในส่วนของสินเชื่อรายย่อยและธุรกิจเอสเอ็มอี ให้มีสัดส่วนราว 50% และสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ 50%ของพอร์ตสินเชื่อรวม จากปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร กระจุกตัวอยู่ในสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่สัดสวน 90% และสินเชื่อรายย่อยและเอสเอ็มอี 10% โดยในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีจะเน้นลูกค้าที่เป็นซัพพลายเชน(ห่วงโซ่การผลิต) ที่อยู่ในกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ของธนาคาร เนื่องจากธนาคารจะมีฐานข้อมูลและพฤติกรรมทางการเงินของลูกค้าอยู่แล้ว ทำให้สามารถพิจารณาการปล่อยสินเชื่อได้อย่างมีคุณภาพ
ในส่วนของการเติบโตกลุ่มลูกค้าไต้หวัน ธนาคารตั้งเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 10% จากฐานลูกค้าไต้หวันที่เป็นนักธุรกิจอยู่ในไทยจำนวน 5,000 ราย และเป็นรายบุคคลจำนวน 2 แสนราย โดยธนาคารจะมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆออกมา และนำเสนอแบบ Cross selling แก่ลูกค้า ปัจจุบัน ขาวไต้หวันในไทยนิยมซื้อคอนโดมีเนียม ซึ่งธนาคารได้มีการจับมือกับพันธมิตรบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโครงการต่างๆ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีการให้บริการลูกค้าไทยที่สนใจเข้าไปลงทุนในไต้หวันด้วย
สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อย จะเน้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องหลังจากครึ่งปีแรกโต 20% รวมถึงสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) ซึ่งร่วมมือกับพันธมิตร Ascend โดยสินเชื่อดิจิทัลได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้ปล่อยสินเชื่อดิจิทัลแล้ว 200 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายปีนี้จะปล่อยสินเชื่อได้ 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้บริการแอปพลิเคชัน Profita ที่มี Feature สำคัญที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าในทุกจังหวะการลงทุน รองรับคำสั่งซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยนกองทุนได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีกองทุนแนะนำ มีบทวิเคราะห์สภาวะตลาดที่เปรียบเทียบได้ถึง 15 กองทุนในเวลาเดียวกัน และธนาคารอยู่ระหว่างพัฒนาบริการใหม่บนแพลตฟอร์ม Profita คือ บริการ ROBO Advisor เป็นบริการวางแผนการลงทุน และจัดพอร์ตการลงทุนแบบอัตโนมัติที่ออกแบบและคัดสรร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ซึ่งจะมีการติดตามและปรับสัดส่วนการลงทุน โดยลูกค้าสามารถเลือกที่จะให้ระบบปรับสัดส่วนการลงทุนแบบอัตโนมัติหรือให้ระบบแจ้งเตือนเพื่อตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการ ROBO Advisor ในไตรมาส 4 นี้
ด้านกลยุทธ์ธนาคารยังคงเดินหน้าพัฒนา Digital Infrastructure และ Platform เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และสอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าภายใต้แนวคิด Customer Centric ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก Segment โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล Pro-fit ที่ลูกค้าให้ความสนใจเป็นอย่างมากเพราะความง่ายและสะดวกในการเปิดบัญชีผ่านMobile Banking LH Bank M Choice ทำให้ยอดเงินฝากสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 121.8 และมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 48 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 16% เนื่องจากสภาวะตลาดการลงทุนมีปัจจัยลบ บริษัทจึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ผู้ถือหน่วยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สำหรับผลการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการกองทุน บริษัทบริหารกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มูลค่าประมาณ 58,124 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 13,025 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 5,747 ล้านบาท โดยบริษัทเน้นเติบโตในกองทุน ส่วนบุคคลและการลงทุนระยะยาว ทำให้กองทุนส่วนบุคคลมีขนาดเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 ราว 3,600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 38 รวมทั้งได้พัฒนาช่องทางบริการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น และจัดตั้งกองทุนรวมที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสอดคล้องกับภาวะตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่สามารถรักษาเงินต้น และมีความผันผวนต่ำเมื่อเทียบกับตลาดการลงทุน เช่น กองทุนที่ลงทุนในหลักทรัพย์ นอกตลาด (Private Equity Fund) และกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Real Assets Fund)
นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Securities เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 316.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากธุรกิจอื่นที่มิใช่ค่านายหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น เช่น รายได้ดอกเบี้ยรับจากการเติบโตของลูกค้า กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้อื่น รวม 211.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้ค่านายหน้า 105.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.2 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2564 ตามการปรับตัวลงของตลาดหุ้น และมีกำไรสุทธิ จำนวน 138.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนของปี 2564
กลยุทธ์ของบริษัทยังคงเน้นขยายฐานลูกค้าจากการใช้ Big Data การเพิ่มช่องทางบริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น การเปิดบัญชีและยืนยันตัวตนแบบออนไลน์ การขยายลูกค้าในกลุ่ม Mass ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เติบโตอย่างโดดเด่นในตลาดการเงินของไทย ตลอดจนนำความเชี่ยวชาญของ CTBC Bank ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มมาช่วยพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งจะส่งเสริมให้บริษัท มีรายได้อื่นๆ นอกจากรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น