บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ต่อยอดศักยภาพธุรกิจสู่ Top 10 ผู้นำโลกด้านผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ครอบคลุมรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ครบวงจร พร้อมชูนวัตกรรมสินค้าระดับพรี่เมี่ยมกว่า 4,600 ชนิดให้กับลูกค้าแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และผลิตแบรนด์สินค้าของตนเอง พร้อมเดินหน้าเต็มที่หลังปรับโครงสร้างสู่การเป็นแฟล็กชิพของไทยยูเนี่ยน ระดมทุนนำเงินยกเครื่องโรงงาน 2 แห่งให้ทันสมัยและชำระหนี้ เผยยอดขายช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยกว่า 15% มั่นใจแนวโน้มธุรกิจเติบโตสูงกว่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง และเป็นบริษัทในเครือไทยยูเนี่ยน กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ซึ่งธุรกิจไอ-เทล เกิดจากแนวคิดที่ไทยยูเนี่ยน ซึ่งเป็นบริษัทค้าอาหารทะเลรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลกและเป็นผู้แปรรูปปลาทูน่ารายใหญ่ เล็งเห็นโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชิ้นส่วนของปลาที่ไม่สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ของไทยยูเนี่ยนได้ จึงนำมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการสูงรวมทั้งรสชาติอร่อย ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากกลุ่มลูกค้าเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำและเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วโลก
ไอ-เทล มีโมเดลธุรกิจที่โดดเด่นและครอบคลุมทั้งบริการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจรให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และการผลิตแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้ตราสินค้าของ ไอ-เทล เอง มีทั้งอาหารแมว อาหารสุนัข และขนมทานเล่น ซึ่งปัจจุบัน สินค้าที่ผลิตโดย ไอ-เทล ได้รับการจัดจำหน่ายในกว่า 45 ประเทศทั่วโลก นับเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 2 ในเอเชีย และอยู่ใน 10 อันดับแรก (TOP Ten)ของโลกวันนี้ ไอ-เทล พร้อมตอบรับการเติบโตของเมกะเทรนด์ Humanization ของครอบครัวที่ดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนสำคัญด้วยอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพระดับพรีเมี่ยม
แนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกในปี 2564 มียอดขายปลีกประมาณ 131,000 ถึง 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ 7.1% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัขในประเทศจีน ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 19.8% ในปี 2564-2569 ซึ่งเป็นตลาดที่ ไอ-เทล เล็งเห็นช่องว่างในการเติบโตได้มากขึ้น พิจารณาจากรายได้รวมของ ไอ-เทล ที่ได้จากจีนอยู่เพียง 3% ในปัจจุบัน
"นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หลักของ ไอ-เทล ยังสอดคล้องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตสูงในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2564-2569) ทั้งอาหารแมวที่คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 8.2% และอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสำหรับแมวและสุนัขที่คาดกาณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 10.7% แนวโน้มการเติบโตของไอ-เทล มีโอกาสสูงกว่าอุตสาหกรรมด้วย" นายพิชัยชัยกล่าว
ผลประกอบการ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น มียอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2562 -2564 บริษัทมียอดขาย 10,955 ล้านบาท , 12,224 ล้านบาท และ 14,529 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 15% ในขณะที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (ในระหว่างปี 2559-2564) อยู่ที่ประมาณ 5.5-5.8% สัดส่วนรายได้จากการขายของ ไอ-เทล ในปี 2564 แบ่งเป็นสัดส่วนจากอเมริกา 44.9% ยุโรป 19.4% ญี่ปุ่น 14.5% และจีน 3.2%
นายนคร นิรุตตินานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฎิบัติการ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไอ-เทล ดำเนินการผลิตสินค้าที่โรงงาน 2 แห่งในจังหวัดสมุทรสาครและสงขลา ที่มีกำลังการผลิตรวม 172,786 ตัน/ปี พร้อมด้วยคลังสินค้าทันสมัยที่มีพื้นที่จัดเก็บรวม 68,770 พาเลท โดยนำระบบการผลิตแบบอัตโนมัติมาใช้ในหลายขั้นตอน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการและควบคุมต้นทุน กระบวนการผลิตของไอ-เทล โดยโรงงานทั้งสองแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากทั้งหน่วยงานระดับชาติและระดับสากล
"นอกจากนี้ ไอ-เทล ยังมุ่งเน้นการเลือกแหล่งวัตถุดิบที่น่าเชื่อถือ โดยปลาทูน่าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43-49 % ของมูลค่าการสั่งซื้อวัตถุดิบรวม บริษัทได้รับประโยชน์จากการอยู่ในกลุ่มไทยยูเนี่ยนซึ่งเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ารายใหญ่ของโลก สำหรับไก่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญ ก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ของโลก จึงมั่นใจได้ว่า ไอ-เทล จะมีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างสม่ำเสมอ” นายนครกล่าว
นายพรชัย ตติยชัยทวีสุข รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า จุดเด่นของแพลตฟอร์มรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีบริการครบวงจรตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัว จนถึงการผลิตในทุกขั้นตอน โดย ไอ-เทล มีระบบนิเวศเชิงนวัตกรรมที่รอบด้าน เช่น Global PetCare Innovation Center ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและส่วนผสมใหม่ โดยเน้นเรื่องความยั่งยืน ศูนย์ Global Innovation Center ของไทยยูเนี่ยน และยังมีโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าทดลองให้ลูกค้าก่อนพัฒนาสู่ตลาดจริง รวมทั้งศูนย์ i-Tail Cattery เพื่อศึกษาอาหารสำหรับแมวโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังเป็นพันธมิตรกับสถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง ทำให้ไอ-เทล มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรวมกว่า 4,600 ผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกและแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น
ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยไทยยูเนี่ยนจำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น เพื่อลงทุนในการปรับปรุงโรงงานทั้งสองแห่งให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อขยายกำลังการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต ขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต ลงทุนในระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ รวมถึงต่อยอดศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้กับบริษัทฯ