นักลงทุนหลายท่าน คงเฟ้นหาหุ้นสำหรับการลงทุนในปี 2565 หุ้นตัวไหนโดดเด่น น่าสนใจลงทุน อาจจะเลือกค่อนข้างยาก เพราะในตลาดหุ้นมีเลือกกว่า 700 ตัว โดยบล.เคทีบีเอส ช่วยนักลงทุนคัดเลือก 7 หุ้นเด่นที่สนใจ มาให้นักลงทุนได้พิจารณา
โดยทีมนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของ KTBST ได้เลือกหุ้นจำนวนไม่เกิน 10 บริษัท มาสร้างเป็น portfolio สำหรับการลงทุนในปี 2022 เป็นต้นไป ซึ่งเป็น portfolio ที่เหมาะสำหรับการลงทุนแบบ “buy and hold” strategy โดยหุ้นที่คัดเลือก จะถูกเลือกมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ภายใต้ KTBST research coverage โดยปัจจัยหลักๆ ที่นำมาพิจารณาเลือกหุ้นเหล่านี้คือ
1) มี position ที่ดีในธุรกิจหลักที่ดำเนินการอยู่ เช่นมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมายาวนาน หรือเป็นผู้นำตลาดของสินค้าหลัก และจะต้องมีอัตราการเติบโตได้ต่อเนื่อง
2) เป็นบริษัทที่แข็งแรง มีความสามารถในการแข่งขันสูง ฐานะทางการเงินมั่นคง สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
3) มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจ ผ่านการ M&A หรือขยายไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมดาวรุ่ง (sunrise industry) ที่จะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ยั่งยืน อาจเป็นการขยายแบบ horizontal or vertical integration ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป
4) valuation ปัจจุบัน สามารถเทรดที่ premium over peers ได้แต่ต้องมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงและยั่งยืนกว่า peersโดยมีหุ้น 7 บริษัทที่ถูกคัดเลือกมาให้ลงทุนตั้งแต่ต้นปี 2022 โดยเป็นหุ้นที่อยู่ใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักคือ 1. Finance : ที่โดดเด่น คือ JMT และ SCB 2)ธุรกิจที่เกี่ยวกับยานต์ยนไฟฟ้า EV โดยคัดเลือก หุ้น KCE 3. กลุ่ม Logistics ยกให้ LEO และ 4) เกี่ยวกับกัญชง ยก RBF และ SNNP เป็นหุ้นที่มีความโดดเด่น
JMT มีมุมมองเป็นบวกต่อ outlook ใน 3-5 ปี ข้างหน้าจาก 1) รายได้จากธุรกิจ บริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company) ที่จะเพิ่มขึ้น 2564-2566 มีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) 51% หนุนโดยขนาดการเข้าซื้อหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องแต่ปี 2564 , ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง หลังการทำขายหุ้นเพิ่มทุน และ NPL ในระบบธนาคารไทยที่ทรงตัวระดับสูง, 2) มูลหนี้รับจ้างติดตามหนี้จะกลับมาขยายตัว 20% เมื่อเยบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากที่หดตัวในปี 2564 จากการสิ้นสุดมาตราการการช่วยเหลือของสถาบันการเงินสิ้น ธ.ค. 2021, 3) การร่วมลงทุนกับ KBANK ทำธุรกิจ บริหารสินทรัพย์ และธุรกิจรับทวงหนี้ ที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/65 จะสร้างความมั่นคงต่อการซื้อหนี้เสียมาบริหาร และเพิ่มกำไรในอนาคต, และ 4) โอกาสในการเข้าร่วมทุนกับธนาคารอื่น หากการร่วมทุนกับ KBANK สำเร็จ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท
KCE แนวโน้มของธุรกิจ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น (sunrise) จาก 1)ความต้องการใช้ PCB (printed circuit board) ที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 1) การก้าวเข้าสู่ยุค digital ทำให้มีความต้องการบริโภคสินค้า IT ที่เกี่ยวข้องกับ IoT, Cloud service, 5G, E-commerce,Work from home, Crypto currency และ Metaverse ที่ต้องใช้ PCB เป็นหัวใจหลักในแผงวงจรไฟฟ้า และ 2) การเติบโตอย่างรวดเร็วของรถยนต์ EV (electric vehicle) เป็นปัจจัยเร่งให้ความต้องการ PCB สูงขึ้น เนื่องจาก EV มีปริมาณการใช้ PCB ที่มากกว่ารถยนต์แบบ traditional อีกทั้งในอนาคตการมาของ autonomous car (รถยนต์ไร้ คนขับ) จะทำให้มีการบริโภค PCB มากยิ่งขึ้น ประเมินกำไรสุทธิของ KCE ปี 2565 ที่ 3,459 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และปี2566 ที่ 4,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ให้ราคาเป้าหมายปีไว้ที่ 105.00 บาท
LEO เป็นบริษัทที่ให้บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและโลจิสติกส์ครบวงจร รายได้หลักมาจากการขนส่งทางเรือ อย่างไรก็ตามเราการพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก จาก 1) ค่าระวางทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 5,046 จุด และช่วงปี 2565-2566 จะทรงตัวในระดับสูงจากปริมาณการขนส่งยังเติบโตตามการฟื้นตัวของตลาดโลก, 2) มีโอกาสเติบโตอีกมากทั้งจากการขยายธุรกิจเดิม การจับมือกับ partners เช่น Cardinal UK เน้นการขนส่งทางเรื อ, วางแผนร่วมกันกับ Thailand post distribution ทำขนส่ง e-commerce, จับมือกับ China post ที่เน้นการขนส่งระหว่าง ไทย-จีน, 4) การขนส่งทางรางที่จะเริ่มทำในปี 2565 นี้ อีกทั้งยังวางแผนทำคลังสินค้าร่วมกันเพื่อหนุนให้ไทยเป็น distribution hub ของภูมิภาค ASEAN และ 5) โอกาสอื่นๆ ในอินโดนิเซีย และเวียดนาม ประเมินกำไรปี 2565 ที่ 213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และปี 2566 ที่ 231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ให้ราคาเป้าหมาย 20.00 บาท
ORI เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่สามารถปรับตัวได้ดีและเร็วสุดต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จากผลกระทบโควิด-19 โดย โดย 1) ธุรกิจหลักอสังหาฯ ยังเติบโตได้ดี จากการกลยุทธ์ เน้นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีการแข่งขันน้อย (blue ocean) และ 2) “Origin Next Level” แผนการขยายธุรกิจใหม่ๆ (mega trends) ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ healthcare (เสริมความงาม, ศูนย์ดูแลสุขภาพ, กัญชงครบวงจร), logistics, asset management company,insurance broker และ energy (solar roof, EV charger) โดยประเมินว่ามีโอกาสที่ ORI จะมี สัดส่วนกำไรจากธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 15% จากปัจจุบันที่ 3% และประเมินกำไรปี 2565 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ให้ราคาเป้าหมายที่ 15.00 บาท อิงค่าพีอี เรโช ที่ 10 เท่า
RBF มีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจกัญชงที่เข้ามารับรู้ รายได้ปี 2565 โดยในช่วง 3 ปี ต่อจากนี้ คาดเห็นการเติบโตรายได้ของบริษัทต่อปี ช่วง 2564-2567 เฉลี่ยที่ 28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 7% จากธุรกิจกัญชง โดยเฉพาะการขายสารสกัด CBD ที่มีราคาสูง ส่งผลให้ Gross profit margin มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 38% ขณะที่คาดเห็นการเติบโตของธุรกิจหลักอยู่ที่ +10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทยังมีแผนขยายโรงงานเฟส 2 ในประเทศอินโดนีเซีย และจะสามารถ COD ได้ภายในปี 2566 คงกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 1,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 238% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ให้ราคาเป้าหมายที่ 29 บาท อิงพีอี เรโช ปี 2565 ที่ 40เท่า
SCB มีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจธนาคารที่จะยังคงเติบโตต่อตามเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว โดยคาดกำไรสุทธิ SCB ปี 2565 ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากการตั้งสำรองฯที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติ ขณะที่แผนการเปลี่ยนธุรกิจครั้งใหญ่เป็น SCBX จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย จาก SCBX อยู่ที่ 1 ใน 3 ของรายได้รวม (2021E อยู่ที่ 12%), Market cap. ที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท , ROE ในระยะยาวที่ 15%-20% รวมถึงกำไรจะเติบโต ได้ถึง 1.5x ซึ่งมองว่ามีโอกาสสูงมากที่จะทำได้ตามเป้าหมาย ให้ราคาเหมาะสมปี 2565 ไว้ที่ 150.00 บาท
SNNP ถือเป็นบริษัทชั้นนำของไทย มีประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 30 ปีและเป็นผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มในอาเซียน จาก brand portfolio ที่หลากหลาย ส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างสม่ำเสมอในอดีตที่ผ่านมา ในขณะที่ outlook ระยะยาว บริษัทได้มุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะสินค้ากัญชง และการขยายตลาดต่างประเทศ ที่จะทำให้มีการเติบโตที่ดีและยั่งยืนขึ้น โดยเราคาดว่ากำไรใน 3 ปี ข้างหน้าจะเติบโตโดดเด่นจาก 1) ธุรกิจหลักยังเติบโตต่อเนื่อง จากรายได้ ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม ที่เพิ่มขึ้น, อัตรากำไรขั้นต้น หรือ GPM ขยายตัว และ ค่าใช้จ่ายในการขายทั่วไปและบริหาร และดอกเบี้ยจ่าย ลดลง, 2 ตลาดต่างประเทศมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV โดยกำลังการผลิตรวมจะเพิ่มขึ้น 20% จากโรงงานเวียดนาม (COD ก.ค. 2022) และ 3) upside จากสินค้ากัญชง-กัญชา โดยปี 2565 มีแผนออกผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 8 ผลิตภัฑณ์ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น 420 ล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 79 ล้านบาท หรือเป็น upside ต่อประมาณการที่ 17% ราคาเป้าหมายที่ 15.50 บาท