น้องใหม่ HL ธุรกิจร้านยา-ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จ่อขาย IPO ระดมทุน 72 ล้านหุ้น คาดเข้า mai ภายในสิ้นปีนี้ เปิดแผนใช้เงินขยายสาขาใหม่ปีละ 4-5 แห่ง และปรับปรุงสาขาเดิม 25 แห่ง รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทำวิจัยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มั่นใจรายได้-กำไรเติบโตยั่งยืนตามเมกะเเทรนด์สุขภาพ
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) (HL) เปิดเผยว่า HL ทำธุรกิจร้านขายยา Chain Store เตรียมจะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.47% และคาดว่าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 4/2564
"HL เป็นธุรกิจร้านขายยารายแรกที่เข้า mai อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดด เพราะสังคมไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนส่วนใหญ่ หันมาให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการยา หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพิ่มขึ้น การเข้าตลาดหุ้นจะช่วยสร้างฐานทุนให้แข็งแกร่ง มีแหล่งระดมทุนที่หลากหลาย สามารถรองรับการขยายธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตได้เป็นอย่างดี"นายสมภพ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 136 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 100 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 136 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 272 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
นายธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้ในการขยายสาขาใหม่ และปรับปรุงสาขาเดิม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสาขารวม 25 สาขา โดยตั้งเป้าหมายขยายสาขาปีละ 4-5 แห่ง บนทำเลที่ดีมีศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมแห่งอนาคต เพื่อผลักดันการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
“HL มีเป้าหมายหลักของการเข้าจดทะเบียนใน mai เพื่อจะยกระดับมาตรฐานองค์กร สามารถตรวจสอบได้ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงลูกค้าจะมีความมั่นใจในการเลือกซื้อยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อุปกรณ์การแพทย์กว่า 10,000 รายการของบริษัทฯ ซึ่งมีคุณภาพได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี" นายธัชพล กล่าว
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ตั้งแต่ปี 2561-2564
ปี 2561 รายได้รวม 791.21 ล้านบาท กำไร 0.39 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 915.51 ล้านบาท กำไร 21.77 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 1,080.11 ล้านบาท กำไร 52.08 ล้านบาท
6 เดือนแรก ปี 2564 รายได้รวม 556.76 ล้านบาท กำไร 32.29 ล้านบาท
“งวด 6 เดือนแรกปีนี้ กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 32.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 5.80 โดยอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ 5.09 และเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่อยู่ 4.82 จากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น รวมทั้งมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพที่เป็นผลิตภัณฑ์ของเฮลทิเนสเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง โดยอัตรากำไรขั้นต้นของปี 2563 อยู่ที่ 21.89% และงวด 6 เดือนของปีนี้ อยู่ที่ 22.27% เนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้น” นายธัชพลกล่าว
ทั้งนี้ บมจ.เฮลท์ลีด เป็นโอลดิ้งคอมพานีเข้าไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุน 100%ในบริษัทย่อย 2 แห่งได้แก่ 1.บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด มีธุรกิจหลักคือ ธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ รวมกว่า 10,000 รายการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย โดยจำหน่ายผ่านร้านขายยาทั้งหมด 4 แบรนด์ ปัจจุบันมี 25 สาขา ได้แก่ iCare 10 สาขา, PharmaX 11 สาขา, vitaminclub 3 สาขา และ Super Drug 1 สาขา
และ 2. บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ธุรกิจหลัก คือ คิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิต เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้ 2 แบรนด์ ดังนี้ PRIME เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก มีผลิตภัณฑ์จำนวนทั้งหมด 24 SKU และ Besuto เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก ซึ่งมีจำหน่ายทั้งหมด 9 SKU โดยส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัท