กรุงเทพประกันภัย คาดเบี้ยรับรวมโต 5% สูงกว่าตลาดที่คาดขยายตัว 1.5 - 2.5 % พร้อมบุกตลาดประกันรถยนต์ที่ยอดขายกลับมาโตเป็นบวกปีแรก จ่อเพิ่มประกันรถ EV ในราคาจับต้องได้ คาดภาระจ่ายเคลมโควิดที่เหลือราว 3.5 -4.6 พันล้านจากประกันที่คงคุ้มครองกว่า 1.3 ล้านฉบับ ทำใจผลดำเนินงานยังขาดทุน แต่มั่นใจทำกำไรจากพอร์ตลงทุนได้ดี โดยไตรมาสแรกได้ขายหุ้นทำกำไรเข้าพอร์ตแล้ว 350 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ BKI มีกำไรและพร้อมจ่ายเงินปันผล
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า
แนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2565 สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้มีการประเมินว่า เบี้ยประกันภัยรับรวมในปีนี้ จะเติบโต 1.5 - 2.5 % โดยในส่วนของประกันภัยรถยนต์ คาดว่าจะเติบโตจากยอดขายรถใหม่เพิ่มขึ้นราว 13.3% และการแข่งขันด้านอัตราเบี้ยประกันภัยในตลาดประกันภัยรถยนต์ที่น่าจะมีความรุนแรงน้อยลง แต่การใช้รถยนต์และอัตราการเกิดอุบัติเหตุมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการเดินทางและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ จึงอาจทำให้อัตราการเคลม (Loss Ratio) กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากปีที่ผ่านมาลดลง ส่วนด้านประกันภัยเบ็ดเตล็ดนั้นจะได้รับผลบวกจากอัตราเบี้ยประกันภัยต่อในตลาดโลกที่ยังคงมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้
แต่ในส่วนของเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพปีนี้น่าจะเติบโตติดลบ เนื่องจากการขาดหายไปของเบี้ยประกันภัย COVID-19 ที่มีมูลค่าถึง 6,000 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นสัดส่วน 12 %ของเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพทั้งหมด แม้จะได้รับผลบวกจากการที่ประชาชนตระหนักมากขึ้นถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็ตาม
"โดยภาพรวมธุรกิจประกันวินาคภัยในปีนี้ มองว่ายังขยายตัวได้ ด้วยปัจจัยบวกจากการส่งออกของประเทศที่ยังคงเติบโตในระดับสูงแม้จะได้รับผลกระทบบ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจขนส่งในประเทศที่เติบโตตามการซื้อสินค้าและขายสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องในส่วนของประกันภัยมารีน นอกจากนี้ การประกันภัยเดินทาง และประกันภัย Aviation ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจะเริ่มฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตามปกติภายในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านประกันอัคคีภัยที่จะได้รับประโยชน์จากยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าเติบโตอย่างมากจากมาตรการของรัฐบาลเรื่องการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองและการโอน รวมถึง ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV (เพดานวงเงินสินเชื่อ)" ดร.อภิสิทธิ์กล่าว
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบมจ. กรุงเทพประกันภัย ในปี 2565 ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมภายในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท เติบโตราว 5%จากสิ้นปี 2564 เบี้ยรับรวม 24,511.0 ล้านบาท ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สอดคล้องกับปัจจัยท้าทายต่าง ๆ ในปัจจุบัน และให้ความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาผลประกอบการด้านการรับประกันภัย ซึ่งยังเปราะบางอยู่มากจากผลการรับประกันภัย COVID-19 ที่ยังมีความคุ้มครองอยู่ในปีนี้ ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถเติบโตได้สูงกว่าเป้าหมาย จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะบรรลุเป้าหมายเบี้ยประกันภัยปีนี้ได้อย่างแน่นอน และในปีนี้จะมีการขยายโปรดักส์เพิ่มในส่วนของประกันภัยรถยนต์เน้นกลุ่มรถ EV ที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งจะทำราคาเบี้ยที่สามารถจับต้องได้ นอกจากนี้จะมีเบี้ยไซเบอร์สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี
สำหรับพอร์ตของการประกันโควิดของบริษัททั้งประเภท เจอ จ่าย จบ และค่ารักษาพยาบาล ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 1.3 ล้านกรมธรรม์ ซึ่งประกันโควิดที่จะหมดอายุในเดือน พ.ค. นี้ สัดส่วน 30% ชองพอร์ต สำหรับยอดการเคลมโควิด ล่าสุด (10 มี.ค. 65) ในช่วง 69 วัน มียอดแจ้งเคลมกว่า 2,370 ล้านบาท พร้อมกับคาดว่าปีนี้ บริษัทจะมีภาระจ่ายค่าเคลมโควิดไม่น่าจะต่ำกว่าปีที่แล้ว โดยจะอยู่ที่ราว 3.5-4.6 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงนี้ลูกค้าที่ติดโควิดจะติดกันทั้งครอบครัว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีฐานะเงินกองทุนที่แข็งกร่งกว่า 3 หมื่นล้านบาท พร้อมรองรับการเคลมโควิดอย่างไม่มีปัญหา
"ยอดเคลมโควิดที่เยอะในปีนี้ อาจกระทบต่อเงินกองทุน BKI แต่ไม่ได้กระทบมากอย่างมีนัยสำคัญ เพราะบริษัทมีเงินกองทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท เงินหนามากพอแม้เราคาดว่าจะมียอดเคลมปีนี้ 4 พันล้านบาท ฐานะการเงินของ BKI ยังมั่นคงแข็งแกร่งอยู่ แต่ปีนี้ในแง่ผลดำเนินงานอาจมีขาดทุนจากการรับเคลมโควิด แต่ก็จะมีประกันภัยรถยนต์ที่คาดจะเข้ามาช่วยได้เยอะ จะช่วยให้ขาดทุนลดลง และยังมีกำไรจากเงินลงทุน เช่นเดียวกับปีที่แล้ว และจะยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ เนื่องจากบริษัทมีกำไรสะสม เช่นเดียวกับปีที่แล้วเพื่อผู้ถือหุ้นทุกท่าน" ดร.อภิสิทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ BKI จ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลดำเนินงานปี 2564 เป็นเงินสดรวมหุ้นละ 15 บาท โดยมีการประกาศจ่ายเงินปันผลตามงวดผลดำเนินงานรายไตรมาสของปี 2564 (งวดผลดำเนินงานในไตรมาส 1-2 จ่ายหุ้นละ 3.50 บาท ,ไตรมาส 3 จ่าย 3 บาท และไตรมาส 4 จ่าย 5 บาท) ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ระดับสูง 5.64%
สำหรับกลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้ บริษัทคงมุ่งเน้นการพัฒนาบริการหลังการขายให้มีความสะดวกรวดเร็วตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ด้วยมีความเชื่อว่าจากสถานการณ์โควิด จะทำให้ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคาน้อยลง และพิจารณาถึงความมั่นคง ความน่าเชื่อถือ ตลอดจนคุณภาพการบริการของบริษัทประกันภัยมากกว่าการพิจารณาเรื่องเบี้ยประกันภัย เน้นการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อส่งเสริมคุณภาพการให้บริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าและคู่ค้า ตลอดจนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทฯ
นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศมีโอกาสปรับตัวลงในระยะข้างหน้า 6 เดือนนี้ บริษัทได้มีการปรับพอร์ตลงทุนตั้งแต่ไตรมาสแรกนี้แล้ว โดยขายหุ้นทำกำไรออกมาส่วนหนึ่งก่อน และรอสถานการณ์เศรษฐกิจดี มีโอกาสการลงทุนแล้วจะมีกำไร จึงค่อยเข้ามาซื้ออีกครั้ง โดยจะเน้นหุ้นที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายการบริโภคและหุ้นโรงพยาบาล ซึ่งปกติการลงทุนของบริษัทจะเน้นระยะยาวไม่ต่ำกว่า 3-4 ปี ทั้งนี้ พอร์ตลงทุนของ BKI ณ สิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 4.9 หมื่นล้านบาท(ตามราคาตลาด) โดยราคาทุนอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท ผลจากราคาตลาดที่เพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วนพอร์ตลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาเป็น 53.6%ของพอร์ตรวม มูลค่าอยู่ที่ 2.62 หมื่นล้านบาท จากราคาทุนมีสัดส่วนเพียง 21.8% มูลค่า 5.69 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตลงทุนพันธบัตร หุ้นกู้และเงินฝากอื่นๆมีสัดส่วน 35.7% มูลค่าราว 1.75 หมื่นล้านบาทจากราคาทุนที่อยู่ 1.76 หมื่นล้านบาท
"ไตรมาสแรก ช่วงที่ผ่านมา เราได้ลดพอร์ตหุ้นลงโดยขายออกราว 350 ล้านบาท มีกำไร 200 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยลดการขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจ เรามองว่ายังไม่เข้าซื้อหุ้นในช่วงนี้ เพราะหุ้นจะไปลำบาก ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน เงินเฟ้อสูงและการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และยังมีสิ่งที่จะเกิดือฟองสบู่สหรัฐที่จะแตกด้วย ปีนี้เราคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) พอร์ตลงทุนจะไม่ต่ำกว่า 2.9% นอกจากนี้ยังมีการลงทุนใน REITs ด้วย ซึ่งจะเน้นเกี่ยวกับโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คนก็มีความจำเป็นต้องใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ด้านบอนด์จะ swiss จากเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยต่ำอยู่ ซึ่งปีนี้คิดว่าหุ้นกู้น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี นอกจากนี้ ยังมีลงทุนหุ้นนอกตลาด โดยรวมๆได้รับเงินปันผล 868 ล้านบาทต่อปี "ประธานกรรมการกล่าว
ปี 2564 พอร์ตลงทุนของบริษัท มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 1,498.3 ล้านบาท เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากการรับประกันภัย 383.4 ล้านบาท ซึ่งหลัก เป็นผลจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทน(เคลม) ประกันภัย COVID-19 ทำให้กำไรสุทธิลังหักภาษีเงินได้ 1,055.9 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 9.92 บาท