ปูนซิเมนต์ไทย ชี้ราคาน้ำมันพุ่ง กระทบต้นทุนผลิตพุ่งตาม เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้า ยอมรับกระทบต่อกำไร แต่ยังคงเป้ารายได้โต 10% และยืนแผนลงทุนปีนี้ 8 หมื่นล้านบาท เดินหน้าโครงการลงทุนที่มีศักยภาพสูง แต่จะทบทวนแผนซื้อกิจการ ปรับกลยุทธ์เน้นยืดหยุ่น ปิดทุกความเสี่ยง เริ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานทางเลือก
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจเอสซีจี ประจำปี 2565 ว่า จากสถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงหลายด้าน ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 สถานการณ์รัสเซีย ยูเครน ที่ส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน และยังมีปัญหาภาวะเงินเฟ้อ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้น ภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาระะยะยาว ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและต้นทุนวัตถุดิบในหลายๆอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น
ในส่วนของ SCC ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเคมีภัณฑ์จะได้รับผลกระทบสูงทั้งจากต้นทุนพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบอย่างมาก เนื่องจากมีต้นทุน NAFTA มากถึง 70-80%ของต้นทุนรวม ส่วนธุรกิจซิเมนต์มีต้นทุนพลังงานราว 15-20% และธุรกิจ Packaging กระทบ 5% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวทำให้ SCC เตรียมปรับราคาขายขึ้นซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด แต่จะพยายามทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สำหรับความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า จะไม่กระทบต่อยอดขายนัก เพราะ SCC มียอดขายในยูเครนและรัสเซียเพียง 1-2% ของยอดขายรวมเท่านั้น
"ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปราว 130 ดอลลาร์/บาร์เรล จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตในส่วนของธุรกิจที่ใช้น้ำมันอย่างมาก และยังมีและต้นทุนวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยรวม ย่อมกระทบต่อกำไรของบริษัทอย่างแน่นอน ยังไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้ แต่ในส่วนของรายได้ยังคงเป้าไว้ที่การเติบโต 10%อยู่ เรายังคงเน้นบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ บริหารจัดการซัพพลายเชนและต้นทุนทางการเงินให้ดีอย่างต่อเนื่อง"นายรุ่งโรจน์กล่าว
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทยังคงวงเงินไว้ที่ 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งวงเงิน 50% ใช้ลงทุนในโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP 1) ในเวียดนาม เพราะเดินหน้าไปแล้วประมาณ 90% ส่วนที่เหลือเตรียมไว้สำหรับการลงทุนใหม่ๆ รวมถึงการซื้อกิจการ แต่อาจจะมีการทบทวนก่อน ว่าจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะสามารถลงทุนอย่างไรเพื่อให้อยู่ในกรอบที่บริษัทสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีที่สุด เพราะหากเป็นโครงการที่มีผลกระทบต่อการใช้เงินระยะยาว บริษัทจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบอย่างดี
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ต่างๆที่ไม่แน่นอนปัจจุบัน บริษัทได้เร่งเดินหน้าเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เข้ามาได้อย่างทันท่วงที ดังนี้
กลยุทธ์ระยะสั้น เน้น 1.ปิดทุกความเสี่ยง บริหารต้นทุนพลังงาน และดูแลซัพพลายเชน โดยจัดเตรียมวัตถุดิบให้มีปริมาณเพียงพอและอยู่ในต้นทุนที่เหมาะสม ทำสัญญาซื้อขายพลังงานล่วงหน้า พร้อมบริหารต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และ 2.ยืดหยุ่นปรับตัวตามสถานการณ์ โดยติดตามสถานการณ์ต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบที่สูงขึ้นตามกลไกตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้ทันท่วงที และพยายามให้เกิดผลกระทบกับลูกค้าให้น้อยที่สุด
ส่วนกลยุทธ์ระยะยาว 1.เร่งแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero - Go Green - Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ) ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ เพื่อมุ่ง Net Zero 2050 2. ปรับแผนโครงการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ยังคงเดินหน้าโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ในเวียดนามที่มีความคืบหน้าตามแผนร้อยละ 91 (ณ สิ้นปี 2564) โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีแรกของปี 2566 และพิจารณาทบทวนโครงการลงทุนใหม่ที่กระทบกับการใช้เงินในระยะยาว
“บริษัทเชื่อว่าสามารถรับมือกับความท้าทายที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ได้ เราได้เรียนรู้จากวิกฤตอย่างโควิด 19 เมื่อ 2 ปีก่อน ดังนั้นในปีนี้ มั่นใจว่าสามารถปรับวิธีการทำงาน ปรับองค์กรให้ยืดหยุ่น คล่องตัว ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะราคาพลังงานและวัตถุดิบที่พุ่งสูง เป็นตัวเร่งให้เอสซีจีทำเรื่องการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น แม้จะไม่ง่าย แต่เรามีแผนที่จะมุ่งสู่ Net-Zero ด้วยกลยุทธ์ ESG ทำให้มั่นใจว่า เราสามารถทำให้เห็นผลได้ ในขณะเดียวกันก็ยังต้องดูแลคู่ค้า คู่ธุรกิจ ชุมชนสังคม ทุกภาคส่วน (Stakeholders) ให้มีความเข้มแข็งเติบโตยั่งยืนควบคู่ไปกับยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงทางเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวทิ้งท้าย