บล. เอเซีย พลัส ชี้ไตรมาส 3 ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เร่งขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกสกีดเงินเฟ้อของธนาคารกลางต่างๆ สภาพคล่องในระบบลดลง ปัจจัยภายในมีแรงกดดันจากเงินบาทอ่อนค่าถึง 36 บ./ดอลล์ กระทบ Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออก หลังที่ผ่านมาออกเดือนละเกือบ 2 พันล้านบาท คาดไตรมาส 2 กำไร บจ. หดตัวทั้ง QoQ และ YoY หลังผ่านช่วง High Season และฐานสูงในปีก่อน กดดัน SET Index ยังอยู่ในช่วงพักฐาน คาดดัชนีลง 1,570 จุด ชี้หากดัชนีลงต่ำกว่านี้ เป็นโซนสะสมเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น บาทอ่อน และกระจายเสี่ยงลงทุนหุ้นจีน รับเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 (3Q65) ยังอยู่ในภาวะพักฐานจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากความเสี่ยงเงินเฟ้อฯ และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ ทำให้ World Bank ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ปี 2565 ลงจากเดิม 4.1% มาเหลือ 2.9% แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ กลับต้องเดินหน้าใช้นโยบายการเงินเชิงรุกผ่านการขึ้นดอกเบี้ยฯ และดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (มาตรการ QT) เพราะให้น้ำหนักไปที่การสกัดเงินเฟ้อฯ มากกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐฯคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะขึ้นดอกเบี้ยฯ ทุกครั้งในรอบการประชุม 4 ครั้งที่เหลือของปี โดยเดือนก.ค. คาดขึ้น 0.75% ดอกเบี้ยขึ้นไปที่ 2.5% และดอกเบี้ยฯ ณ สิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 3.5% ซึ่งเริ่มส่งผลต่อดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว
"ส่วนของบ้านเราแม้ว่า ธปท.ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยฯ แต่ยังดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกำหนดประชุม กนง.เร็วที่สุด 10 ส.ค. 65 ทำให้แนวโน้มส่วนต่างดอกเบี้ยฯ ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีช่องว่างมากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่า กนง.จะมีการขึ้นดอกเบี้ยฯ 0.25% ในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยฯ ของเราอยู่ที่ 1.25% ทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยฯ ไทยกับสหรัฐฯ ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ -2.25% กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับปัจจุบันอยู่ที่ -1.25% ส่งผลต่อแนวโน้มเงินบาทที่มีโอกาสอ่อนค่าเหนือ 36.00 บาท/ดอลลาร์ เป็นปัจจัยที่ทำให้ Fund Flow ยังมีทิศทางไหลออก ซึ่งช่วงที่ผ่านมา เห็นการไหลออกเดือนละเกือบ 2 พันล้านบาท"
นอกจากนี้ยังมี 3 ปัจจัยที่จะเข้ามารบกวนต่อทิศทาง SET Index ในไตรมาส 3 นี้ประกอบด้วย 1) แนวทางการจัดเก็บภาษีของรัฐของภาครัฐฯที่ขาดความชัดเจน อาทิ ภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการชายหุ้น ภาษีลาภลอยอสังหาฯ และประเด็นเรื่องการขอความร่วมมือต่อผู้ประกอบการกลุ่มโรงกลั่น 2) ราคา Commodity ที่เริ่มปรับฐานจากความกังวลต่อ Recession ในเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ 3) การเข้าซื้อขายของหุ้น IPO ขนาดใหญ่กลุ่มประกันที่เข้าเกณฑ์ SET50 Index Fast Track ในช่วง ก.ค.65 ที่อาจกดดันต่อหุ้นในกลุ่มใกล้เคียงกันอย่าง ธ.พ. ประกันและไฟแนนซ์
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธการลงทุนและวิเคราะห์เชิงปริมาณ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย ยังคงประมาณการอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 65F ไว้ที่ 88.90 บาท/หุ้น แต่อย่างไรก็ตามในงวด 2Q65 ประเมินว่าทิศทางกำไรจะอ่อนตัวระดับ YoY (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน) เนื่องจาก 2Q64 เป็นช่วงที่ฐานกำไรสูงกว่าปกติจากการบันทึกรายการพิเศษของ PTTGC ขาย GPSC และ BAY ที่ขายเงินลงทุนติดล้อ และจะเห็นการอ่อนตัว QoQ (เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า) จากการผ่านช่วง High Season
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ ได้ประเมินระดับดัชนีที่เชื่อว่าจะสามารถรองรับความเสี่ยงการปรับขึ้นดอกเบี้ยฯของกนง. 3 ครั้ง บนสมมติฐาน Market Earning Yield Gap (MEYG) 4.4% และ Bond Yield (อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร) อายุ 1 ปีที่ 1.25% ทำให้ได้ระดับดัชนีที่รองรับความผันผวนของตลาดอยู่ที่ 1,570 จุด
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ "ทยอยสะสมหุ้น" เมื่อ SET Index ปรับฐานลงต่ำกว่า 1,570 จุดลงมา ในทางตรงข้ามหากดัชนีขึ้นสูงกว่า 1,570 จุดแนะนำให้ "ขายทำกำไร" หรือเลื่อน Stop Profit ของหุ้นขึ้น โดยหุ้น Top Pick ใน 3Q65 อยู่กับ 3 Theme 1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Reopening CRC BEM CENTEL CPN TRUE หุ้นได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า CPF และ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น KTB
นางสาวกฤตยาภรณ์ ธาดาสีห์ หัวหน้าฝ่ายลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส มองว่า ในปี 2565 นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนหนัก กดดันโดย 3 ปัจจัยใหญ่ ได้แก่ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวของธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั่วโลก ทำให้ดัชนี MSCI World ที่ประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำของ 23 ประเทศทั่วโลก ปรับลงเกือบ 9% ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นจีนกลับสามารถ รีบาวด์สวนทางกับตลาดอื่น โดยดัชนี Hang Seng และดัชนี CSI300 ปรับขึ้น 2% และ 10% ตามลำดับ เนื่องจากท่าทีการใช้นโยบายเข้มงวดของรัฐบาลจีนที่ใช้ควบคุมบริษัทเอกชนและการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งสัญญาณคลี่คลาย อีกทั้ง มีการเร่งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนปีนี้ที่ 5.5% ได้สำเร็จ
ทำให้นักวิเคราะห์หลายแห่งอย่าง JP Morgan และ Morgan Stanley ที่ก่อนหน้านี้เคยมีมุมมองเชิงลบกับหุ้นจีนเป็นอย่างมากได้กลับลำมุมมองใหม่ เนื่องจากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน แม้รัฐบาลจีนจะยังคงใช้นโยบาย Zero COVID อยู่ แต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ประกาศคลายล็อกดาวน์ในเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ และได้ประกาศลดวันกักตัวสำหรับนักเดินทางต่างชาติส่งผลให้การเดินทางระหว่างเมืองของชาวจีนเป็นอิสระมากขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มท้องถิ่นของจีนที่ใช้จองตั๋วเดินทางและที่พักอย่าง Tongcheng Travel Holdings ก็ได้รับอานิสงค์นี้ด้วย
ด้านนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เผยออกมาทั้ง 33 มาตรการมีมูลค่ากว่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเน้นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในฝั่งอุปทานเป็นหลัก อาทิ การลดภาษี การลดอัตราดอกเบี้ยและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยพลังงานสะอาดเป็นด้านหนึ่งที่รัฐบาลจีนตั้งเน้นผลักดันในระยะยาว ภายใต้เป้าหมายการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ก่อนปี 2060 ซึ่งประเทศจีนมีจุดเด่นด้านการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในทุกชิ้นส่วนภายในห่วงโซ่การผลิตแผงโซลาร์ ส่งผลให้บริษัทผู้ที่มีการผลิตทุกส่วนประกอบในแผงโซลาร์เองอย่าง Longi Green Energy มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากทั้งในด้านของต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพ สามารถครองตำแหน่งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์มากที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นฝั่งอุปสงค์ เพื่อหนุนการจับจ่ายใช้สอยไปพร้อมกับการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดด้วย โดยเน้นกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณายืดระยะเวลาการยกเว้นภาษีอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2014 ออกไป พร้อมผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาป ด้วยเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ชัดเจนนี้ ส่งผลให้ผู้ผลิตที่มียอดขายรถยนต์อันดับ 1 ในจีนอย่าง BYD ประกาศเลิกผลิตรถยนต์สันดาปและผันตัวเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว โดย BYD มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก แซงหน้า Tesla ไปเป็นที่เรียบร้อย หากอิงจากยอดส่งมอบครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
นายภาดร สุขสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นการปรับฐานของราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกไปมากแล้วก็ตาม แต่ระยะข้างหน้าจากความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ดังนั้นการลงทุนในไตรมาสที่ 3Q65 ยังคงเน้นลงทุนในภูมิภาคที่เห็นมองสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางการเงินและทางการคลังออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในประเทศจีน เป็นต้น