“พฤกษา โฮลดิ้ง” โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 /66 กำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาทเติบโต 141% มีรายได้รวม 7,107 ล้านบาท เติบโต 32% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี2565 ส่งผลให้การดำเนินงานครึ่งปีแรก ทำกำไรสุทธิ 1,690 ล้านบาท รายได้รวม13,665 ล้านบาท เติบโต 72% และ 20% ตามลำดับ ครึ่งปีหลังเปิดอีก 17 โครงการใหม่ มั่นใจตีตื้นทำได้ตามเป้าหมายปีนี้ทั้งยอดขาย 2.4 หมื่นลบ. และยอดโอน 2.8 หมื่นล้าน
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ หุ้น PSH เปิดเผยถึงผลดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 และทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลัง ว่า ไตรมาส 2/2566 พฤกษา โฮลดิ้ง ทำรายได้รวม 7,107 ล้านบาทเติบโต 32% เนื่องมาจากการเติบโตของยอดขายทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ ส่วนกำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาท เติบโต 141% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี2565 และในครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 1,690 ล้านบาท รายได้รวม 13,665 ล้านบาทโดยราว 700 ล้านบาทเป็นรายได้จากความสำเร็จในการสวอปหุ้นบริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด ที่เป็นบริษัทย่อยของ PSH เพื่อนำไปลงทุนในหุ้นของบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL ที่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะสร้างรายได้และการเติบโตที่แข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทฯ กำไรของครึ่งปีแรกถ้าหักรายการพิเศษจากการสวอปหุ้นออก
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของกลุ่มก็ยังคงมีกำไรครึ่งปีแรกของปี 2566 เติบโตกว่า 10% จากปี2565 สะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันทางกลุ่มได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทั้งยอดโอนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และด้านเฮลท์แคร์ ที่มีการเติบโตที่สูงขึ้น และยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) แผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำของ อินโน พรีคาสท์ ก็ทะลุกว่า2,200 ล้านบาท สูงขึ้นเกินกว่าเท่าตัวจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 1,000 ล้านบาท อีกก้าวหนึ่งสู่ความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านการผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำแห่งเดียวในประเทศไทย
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก พฤกษา ได้พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2566 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่แข่งขันได้ในตลาด กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น วันที่ 28 ส.ค. 2566 จ่ายเงินปันผล วันที่ 8 ก.ย. 2566
น่ยอุเทน กล่าวว่า สำหรับในครึ่งปีหลังมีแผนเปิดโครงการรวม 17 โครงการ มูลค่า19,000 ล้านบาท ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการใหม่ตลอดทั้งปีเป็นไปตามแผนเพื่อการยกระดับสินค้ากลุ่มพรีเมียมขึ้นเป็น 30% ในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าsegment mass และ low income โดยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะสามารถทำยอดขายตีตื้นขึ้นมาได้ตัวเลขตามเป้าทั้งปีที่ 2.4 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ครึ่งปีแรกทำไปแล้วราว 9.1 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 38% ของเป้าหมายปีนี้ ส่วนครึ่งปีหลังจะทำยอดขายได้มากกว่า ซึ่งปกติยอดขายครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังจะมีสัดส่วน 40 : 60 อยู่แล้ว
"ส่วนยอดโอนในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อมั่นว่าบริษัทยังคงเป้าหมายยอดโอนในปี 2566 ไว้ที่ 28,000 ล้านบาท แม้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจะมียอดโอนอยู่ที่ 11,680 ล้านบาท คิดเป็น 42% ของเป้าหมายยอดโอนปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันยอดขายรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ที่ 4,975 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ครบทั้งหมดภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ มูลค่ารวม10,593 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดรับรู้รายได้จากการขายและโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลัง"
นายอุเทน กล่าวถึงธุรกิจเฮลท์แคร์ (โรงพยาบาล ) คาดว่ารายได้ปี 2566 จะใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ 2,000 ล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 852 ล้านบาทและล่าสุด 7 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้แล้วกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายโรงพยาบาลใหม่ 1 แห่ง และโรงพยาบาลเพื่อการดูแลผู้สูงอายุอีก 2 แห่ง ด้วยงบลงทุน 2,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายละเอียดของการเติบโตในไตรมาส 2/2566 ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มียอดขาย 4,650 ล้านบาท เติบโต 4% จากไตรมาสก่อน มียอดโอน 5,650 ล้านบาท เติบโต11% จากไตรมาส 2 ปี 2565 เป็นรายได้จากกลุ่มสินค้าแนวราบและการโอนคอนโดมิเนียม 6 โครงการต่อเนื่องมาจากช่วงต้นปี ในครึ่งปีแรกทำยอดขายได้ 9,116 ล้านบาท ยอดโอน 11,680 ล้านบาท พร้อมเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 4,848 ล้านบาท ซึ่งจากการเปิดตัวโครงการ “แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา” ทำยอดขายได้มากกว่า 50% ทั้งจากคนไทยและต่างชาติ รวมถึงโครงการ “พลัมคอนโด นิวเวสต์” ย่านบางใหญ่ สามารถทำยอดจองในวันพรีเซลที่ผ่านมาได้ถึง 580 ล้านบาท
ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ ในไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้รวม 440 ล้านบาท เติบโต 117% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 รายได้รวมในครึ่งปีแรก 852 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลวิมุตทำรายได้ที่ไม่รวมโควิดเติบโตขึ้น 77% สัดส่วนจำนวนผู้ป่วยใหม่เข้ารับการรักษากว่า 26% และได้ขยายความร่วมมือกับ “นัลลูรี่” (Naluri) ผู้ให้บริการทางสุขภาพผ่านระบบดิจิทัล ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจผ่านทางแอพพลิเคชั่นที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมกับตั้งเป้ายกระดับให้ได้ตามมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ (HA) ในระดับ 3 ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อมอบบริการในระดับสากล และขยายบริการไปยังกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นด้วย